เซียวฮูหยินเพ่งพินิจบุตรสาวด้วยสีหน้าอันซับซ้อนอยู่บ้าง เอ่ยเพียงคำเดียวว่า “ดี”
ตอนนี้อวี๋ไฉ่หลิงค่อยเห็นรูปโฉมของเซียวฮูหยินถนัดชัดเจน อดไม่ได้ที่จะอุทานในใจว่า ยอดเยี่ยม ตนมาอยู่ยุคนี้ตั้งนานแล้ว เคยเห็นสตรีที่ดูได้แค่ไม่กี่คน ไม่ใช่ฟันเหยินก็คือตาโปน ไม่ใช่ร่างใหญ่หนาก็คือผอมเหมือนลำไผ่ ไม่นึกเลยว่าเซียวฮูหยินจะโฉมงามผิวขาวเนียนเช่นนี้ น่ามองกว่าปีศาจจิ้งจอกน้อยข้างตัวพ่ออวี๋ฝูงนั้นเสียอีก เด็กสาวพลันคาดหวังกับรูปโฉมของตนเองขึ้นมาแล้ว
อาจเพราะลุกขึ้นเร็วไปสักหน่อย อวี๋ไฉ่หลิงจึงเวียนหัวตาลายอีกระลอก ตัวเอียงซบบ่าสาวใช้ในอาการกึ่งหมดสติ ท่าทางนี้เป็นความจริงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเสแสร้งทำออกมา
เฉิงสื่อเห็นบุตรสาวตัวผอมเล็ก เมื่อครู่เสียงพูดก็อ่อนแรงน่าสงสาร ข้างแก้มยังมีรอยน้ำตาที่ฝากไว้ขณะหลับ ตอนนี้พิงบนร่างสาวใช้ยิ่งดูตัวเล็กจ้อยเปราะบางดุจตุ๊กตากระดาษ ดวงหน้ามีขนาดเท่าฝ่ามือของเขาเท่านั้น คิดดูแม่นางน้อยวัยสิบสามจะย่างสิบสี่ในบ้านชาวนาทั่วไปล้วนต้องออกเรือนแล้ว ทว่าบุตรสาวของเขากลับบอบบางจนน่าเวทนาเพียงนี้ พาให้เขาปวดใจขึ้นมาทันใด จึงเอ่ยด้วยเสียงดังว่า “ข้าเฝ้าคุมที่มั่น ฆ่าข้าศึกอยู่ข้างนอก ในห้วงเวลาอันยากเข็ญเยี่ยงนั้นภรรยาข้าก็ยังสามารถดูแลบริวารเลี้ยงดูบุตร บุตรชายสามคนแรกกับบุตรชายคนสุดท้องที่คลอดมาภายหลังล้วนแข็งแรงดี มีเพียงเหนียวเหนี่ยวที่อยู่ในเรือนอันสุขสงบในเมืองหลวงหลังนี้ ทว่ากลับถูกเลี้ยงดูจนอยู่ในสภาพนี้ไปได้! พวกเราจะถามสาเหตุสักประโยคไม่ได้เลยเชียวหรือ”
พอวาจานี้เอ่ยออกมา เก่อซื่อในฐานะผู้รับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กถึงกับหน้าเผือดขาว เฉิงสื่อกำลังติเตียนนางอยู่อย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริงเฉิงสื่อปรักปรำนางแท้ๆ นอกจากป่วยเฉียบพลันหนนี้เกิดจากนางเพิกเฉยจริง ช่วงเวลาที่เหลือนางล้วนเลี้ยงดูด้วยอาหารชั้นดี อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าสกุลวั่นก็อยู่ข้างบ้านนี้เอง ซ้ำยังหมั่นถ่อมาพูดกระแหนะกระแหนนางด้วย ‘น่าสงสารเด็กน้อยที่ไม่มีบิดามารดาอยู่เคียงข้าง หากเจ้าไม่อาจเลี้ยงดูให้ดี ก็มิสู้ส่งคืนไปอยู่ข้างกายแม่ทัพเฉิง’ แม่สามีนางแก่ตัวแล้วคร้านจะยุ่มย่าม ขอเพียงรั้งเด็กไว้ได้ เรื่องอื่นล้วนไม่แยแส นางตัวคนเดียวจะระบายแค้นก็ไม่กล้าคิดหาวิธีการที่โหดเหี้ยมนัก
น่าโมโหเด็กนี่ที่เกิดมาตัวผอมแบบบาง กินหมูเห็ดเป็ดไก่เข้าไปเท่าใดล้วนสูญเปล่า ประกอบกับหน้าอ่อนกระดูกเล็ก ห้าขวบดูคล้ายสามขวบ สิบขวบดูคล้ายเจ็ดขวบ นี่สิบสามจะย่างสิบสี่แล้วสภาพก็ยังดูคล้ายอดโซกินไม่อิ่ม ผู้อื่นมาเห็นย่อมจะพูดว่าเป็นเพราะอาสะใภ้ใจจืดใจดำ ทั้งที่จริงสิบปีมานี้นอกจากเจตนาปล่อยปละตามใจให้เด็กเสียคน กับจงใจหาเรื่องก่นด่าแล้ว ตนล้วนงัดลูกไม้อื่นใดไม่ออกทั้งสิ้น
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกบุตรชายคนโตชิงต่อว่าไปหนึ่งยกก็พลันฉุนเฉียว ตีอกชกตัวคร่ำครวญเสียงลั่น “…คนเราแก่ตัวแล้วถูกรังเกียจรังงอนจริงเสียด้วย เจ้าไม่กลับมาตั้งหลายปี พอกลับมาก็ห่วงหาแต่ลูก แม่แท้ๆ ของตนเองสุขหรือทุกข์ไม่มีถามถึงสักประโยค พักนี้ข้าเองก็ป่วยมิใช่เบา…” นางพูดพลางรีบไอแห้งๆ หลายหนเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นความจริง จากนั้นร่ำไห้กล่าวต่อ “ตอนที่พ่อเจ้าเสียไป พวกเจ้าพี่น้องพูดไว้ว่าอย่างไร บอกว่าจะกตัญญูต่อข้า ตอนนี้ไม่ทำให้ข้าโมโหตายก็นับว่าบุญโขแล้ว!”
นางร่ำไห้ไปทุบเก้าอี้พับไปไม่พอ ยังยืนพรวดขึ้นแล้วแผดเสียงราวหมูป่าที่สองตาแดงก่ำ “หากเจ้ายังไม่พอใจ มิสู้ข้าตายชดใช้ชีวิตให้เหนียวเหนี่ยวเลยแล้วกัน!”
เดิมฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีพื้นเพเป็นชาวนาในชนบท ประกอบกับมีรูปร่างสูงใหญ่ พออาละวาดขึ้นมา ห้องทั้งห้องจึงคล้ายสั่นสะเทือนในทันที หลี่จุยที่อยู่ด้านข้างเห็นสบโอกาสก็แอบสะกิดเก่อซื่อโดยไม่รอช้า เก่อซื่อจึงรีบก้าวออกมาเสริมทัพ “ท่านแม่อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่เป็นถึงขุนน้ำขุนนาง ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันทรงยึดถือหลักกตัญญูเป็นที่สุดมิใช่หรือ พี่ใหญ่จะไม่กตัญญูได้อย่างไรกันเจ้าคะ!”
เฉิงสื่อไม่อาจระบายอารมณ์ใส่มารดา จึงหันหน้าไปเอ่ยกับเก่อซื่อ “หลายปีก่อนร่างกายท่านแม่หายดีแล้ว ข้าเคยส่งคนมารับตัวเหนียวเหนี่ยว ตอนนั้นน้องสะใภ้เขียนมาในสารว่าอย่างไรนะ บอกว่าเหนียวเหนี่ยวอยู่ที่บ้านดียิ่งยวด ดีในทุกด้าน กลัวว่าไปข้างนอกกลับจะไม่สุขสบาย!”
อวี๋ไฉ่หลิงระรื่นอยู่ในใจ ยอดเยี่ยมๆ ท่านพ่อเฉิงผู้นี้ไม่มีท่าทีของสุภาพบุรุษโดยสิ้นเชิง สามารถตอกหน้าสตรีได้สบายๆ ชนิดไม่กดดันสักนิดเดียว