ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 32
เซียวฮูหยินยังคงโกรธจนหน้าอกยุบพองอย่างรุนแรง เฉิงสื่อจึงใช้สองมือกดพาร่างภรรยานั่งลงช้าๆ ก่อนยิ้มประจบ “ข้าพูดไว้อย่างไร บอกแล้วว่าอย่าหาความหงุดหงิดใจใส่ตัว เจ้าก็ไม่ยอมฟัง หลายวันนี้เจ้ายังมองไม่ออกหรือ เหนียวเหนี่ยวก่อนลงมือล้วนคิดคำแก้ต่างไว้ก่อนแล้ว เจ้าไม่อาจโบยนางได้สักหน่อย นอกจากอารมณ์เสียเปล่าๆ แล้ว ยังจะได้ผลดีอันใดเล่า” แม้กำลังโน้มน้าวภรรยา ทว่าในถ้อยคำก็อำพรางความภาคภูมิใจไว้ไม่มิด
เซียวฮูหยินตัดพ้อ “มิใช่พวกท่านพ่อลูกหรอกหรือที่ให้ท้ายนาง ซ้ายขวางขวากั้น กลัวแต่ว่าข้าจะกินนางลงไป! หากทำแบบสมัยที่พวกหย่งเอ๋อร์ยังเล็ก ยอมให้ข้างัดโทษโบยออกมา ไม่ใช่จะโบยจริง แค่ขู่ขวัญเสียบ้างก็ยังดี ดูซินางจะกลัวหรือไม่!”
“บุตรสาวจะโบยลงโทษเหมือนบุตรชายได้อย่างไรกัน ร่างกระจิริดของเหนียวเหนี่ยวจะทานรับได้กี่ไม้” เฉิงสื่อไม่เห็นพ้อง “เมื่อแรกเจ้าก็พูดเองว่าบุตรชายหญิงนั้นแตกต่าง บุตรชายอาจก่อภัยใหญ่ บุตรสาวเพียงแค่ออกเรือน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การลงโทษย่อมเหมือนกันไม่ได้”
เซียวฮูหยินโมโหจนสลัดมือของสามีออกแล้วขึงตากล่าว “ดีนักนะ ท่านมารอดัดหลังข้าอยู่ตรงนี้ เป็นข้าที่ติดค้างบุตรสาว ท่านจึงตั้งใจจะงัดเรื่องนี้มาช่วยให้นางรอดตัวจนชั่วชีวิตเลยใช่หรือไม่!”
“เอาล่ะๆ ไม่พูดแล้วๆ ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรไปหาพี่วั่นก่อนเวลา หากมิใช่ต้องการไปพร้อมกันสองบ้าน พวกเราไปสกุลอิ่นสายหน่อย งานเลี้ยงเริ่มแล้ว นักกายกรรมแสดงแล้ว มีผู้ใหญ่อยู่ด้านข้าง กลุ่มแม่นางน้อยมีหรือยังจะเกิดเรื่องชวนกลุ้มมากเช่นนี้ได้!” เห็นภรรยาโกรธแล้วจริงๆ เฉิงสื่อก็รีบขยับเข้าไปปลอบโยน
วาจาชวนฟังกล่าวจนสิ้น ปลอบโยนอยู่เป็นนาน เฉิงสื่อค่อยยิ้มกล่าว “ความจริง…ข้ายังนึกว่าวันนี้เจ้าจะตำหนิเหนียวเหนี่ยวเรื่องที่นางต่อว่าแม่นางสกุลอิ่นต่อหน้ากลุ่มแม่นางน้อยเสียอีก ใครจะรู้เจ้ากลับไม่เอ่ยถึงสักประโยค เป็นอย่างไร เจ้าเองก็รู้สึกว่าเหนียวเหนี่ยวต่อว่าได้ดีกระมัง”
แม้ถูกสามีคาดเดาความในใจได้ถูกเผง เซียวฮูหยินก็ยังคงไม่ยอมแพ้ “นั่นเป็นเพราะพวกท่านพ่อลูกมาก่อกวน ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องถามนางว่าเหตุใดพูดคุกคามผู้อื่นเยี่ยงนั้น ไม่กลัวจะก่อเรื่องให้สกุลเฉิงหรือไร ข่มทนสักนิดไม่ได้เลยเชียวหรือ!”
“ไม่ต้องแสดงแล้ว เป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปี ข้ายังไม่รู้จักเจ้าอีกหรือ หากเจ้ายอมกล้ำกลืนข่มทน ปีนั้นก็คงไม่เรียกให้ข้าไปอุดกั้นลำน้ำฮ่วนสุ่ย ท่วมกระโจมส่วนตัวของคนแซ่โต้วนั่นไปกว่าครึ่งหรอก” เฉิงสื่อเอ่ยกลั้วหัวเราะหึๆ
เซียวฮูหยินพูดอย่างแง่งอน “ท่าน…คนไร้มโนธรรม! คนแซ่โต้วนั่นหยามหยันท่านในงานเลี้ยง ท่านกลับยอมอดทนข่มกลั้น! ท่านอาของเขาให้ความสำคัญต่อท่าน เขาก็เป็นเดือดเป็นแค้น คนไร้ฝีมือนั่น สุดท้ายผู้เป็นอาก็เดือดร้อนเพราะเขา!”
“แต่ผู้ที่แม่นางน้อยสกุลอิ่นหยามหยันไม่ใช่เหนียวเหนี่ยวสักหน่อย เป็นยางยางต่างหาก” เฉิงสื่อตบหน้าขาหัวเราะร่วน ก่อนจะประชิดใกล้ดวงหน้าภรรยา “เจ้ารู้สึกมาตลอดว่าเหนียวเหนี่ยวอุปนิสัยไม่ดีนัก ทว่ายามสำคัญนางกลับยอมปกป้องญาติผู้พี่ของตน ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นข่มเหงได้เป็นอันขาด หากนางเงียบไม่ส่งเสียง นั่นสิถึงจะไร้คุณธรรมน้ำใจ!”
เซียวฮูหยินนิ่งไม่พูดจา เนิ่นนานค่อยเอ่ยอย่างปากแข็ง “คนครอบครัวเราคำนึงถึงไมตรีพี่น้องมาแต่ไหนแต่ไร ลูกอกตัญญูนั่นยังนับว่าไม่นอกคอก” นางเว้นเล็กน้อยก่อนถอนหายใจ “ต่อมาข้าจูงชีชีมาถามเหตุการณ์อย่างละเอียดแล้ว เฮ้อ ยางยางยังคงอ่อนแอไปสักหน่อย ต่อให้ไม่อาจตอบโต้ในทันที ภายหลังก็น่าจะพูดถ้อยคำตามสถานการณ์สักสองประโยคจะได้ไม่ถูกผู้อื่นดูเบา เพียงแต่น้ำคำของเหนียวเหนี่ยวยังคงคมกริบเกินไป ไม่กลัวผูกศัตรูเสียบ้างเลย…”
“กลัวอันใดเล่า เป็นเพราะข้ากลัวอิ่นจื้อ? หรือเป็นเพราะพวกเราไปประจบประแจงสกุลอิ่น?” เฉิงสื่อเชิดหน้ายืดอกกล่าว “สกุลอิ่นบุตรหลานมากเพียงนั้น ย่อมจะมีคนที่ชอบสวมชุดนักรบไม่ชอบเล่าเรียน พวกเราสองสกุลต่างมีสิ่งที่ต้องการจากกันและกัน สองฝ่ายเท่าเทียม ถือสิทธิ์อันใดให้พวกเราต่ำกว่าหนึ่งขั้น! วันนี้หากมิใช่เหนียวเหนี่ยวโต้กลับไปซึ่งหน้า รอแม่นางน้อยกลุ่มนั้นกลับบ้านไปเล่าให้ญาติผู้ใหญ่ฟัง ต่อไปข้าเฉิงสื่อยังจะเงยหน้าได้อยู่หรือ”
เซียวฮูหยินทอดถอนใจก่อนเอ่ยอย่างวิตก “หนนี้แล้วไปเถิด สกุลอิ่นพวกเรายังตอแยไหว อีกอย่างผู้อื่นก็ใจกว้าง แต่วันหน้าหากเป็นตระกูลที่พวกเราตอแยไม่ไหวเล่า ขืนเหนียวเหนี่ยวบุกตะลุยเปะปะเยี่ยงนี้อีกจะทำเช่นไร”
เฉิงสื่อจงใจเอ่ยเย้าภรรยาอย่างแสนมองโลกในแง่ดี “หากเป็นตระกูลที่พวกเราตอแยไม่ไหว เหนียวเหนี่ยวก็ไม่ต้องไป ให้ยางยางไปร่วมงานเลี้ยง จะอย่างไรนางก็กล้ำกลืนข่มทนแน่ ฮูหยินเห็นว่าเป็นอย่างไร”
หนนี้เซียวฮูหยินมิได้แยแสคำหยอกเย้าของสามี เงียบงันครู่หนึ่งก่อนจะพลันเอ่ย “ราชวงศ์ก่อนมีบุตรหลานตระกูลขุนนางอยู่ผู้หนึ่ง ทุกคนในครอบครัวเป็นผู้มีอำนาจวาสนา ต่อมาตัวเขาเองก็ได้แต่งกับองค์หญิง ใครจะรู้ว่าสามีภรรยาสองคนอุปนิสัยไม่เข้ากัน มีปากเสียงกันทุกวัน สุดท้ายราชบุตรเขยผู้นั้นอดทนคำหยามหมิ่นขององค์หญิงไม่ไหว สังหารองค์หญิงในดาบเดียว ฮ่องเต้กริ้วหนัก ราชบุตรเขยผู้นั้นตลอดจนบิดามารดาจึงถูกพระราชทานความตายพร้อมกัน”
เฉิงสื่อฉงน “เจ้าต้องการจะพูดอันใด”
เซียวฮูหยินมองไปที่ข้างประตูก่อนเบาเสียงพูด “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าวางใจจะตบแต่งยางยางเข้าตระกูลใดก็ได้ ท่านยังหาว่าข้าลำเอียง อันที่จริงข้ารู้แจ้งแก่ใจว่านี่เป็นวาจาที่สะเทือนอารมณ์และผิดต่อน้องรองอย่างยิ่ง พูดแบบไม่ชวนฟังคือหลังจากยางยางออกเรือนไป เลวร้ายที่สุดของที่สุดก็แค่ถูกรังแกแล้วไม่กล้าตอบโต้ วันใดทนต่อไปไม่ไหว หย่ากลับบ้านมาก็หมดเรื่อง ทว่าเหนียวเหนี่ยวเล่า นางจะต้องสู้ตายสักตั้งแน่ ส่วนใหญ่เคราะห์ภัยก็มักจะจุดชนวนขึ้นเช่นนี้นี่เอง!”
เฉิงสื่อไม่อาจโต้แย้ง สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าอย่างไร…พวกเราหาครอบครัวสามีที่อารมณ์เย็นโอนอ่อนผ่อนตามอย่างที่เหนียวเหนี่ยวบอกดีหรือไม่ เพียงแต่เหนียวเหนี่ยวรับปากพวกเราแล้วว่าต่อไปจะไม่ต่อยตีกับผู้อื่นอีกนี่”
ในน้ำเสียงของเซียวฮูหยินถึงกับแฝงความอ่อนแรงอยู่หลายส่วน “นึกไม่ถึงจริงๆ ในชีวิตของข้าเซียวหยวนอีจะต้องหวั่นวิตกว่าบุตรสาวจะไปต่อยตีกับใคร…จริงสิ พวกเซ่ากงพาเหนียวเหนี่ยวไปที่ใดกันแน่ ดูเหมือนข้างนอกหิมะจะตกแล้ว เรียกนางกลับห้องของนางเถิด ข้าจะไม่กินนางหรอก ยังมีซุ่นหวา…เฮ้อ ข้าเข้าใจความหมายของประโยคที่นางพูดทิ้งท้ายแล้ว”
จริงอยู่บุตรสาวมีไหวพริบแหลมคม ไม่ละโมบในเกียรติอันจอมปลอม จวนสกุลอิ่นวิจิตรตระการตาก็ไม่เห็นนางมีท่าทีอิจฉา ทั้งยังรู้จักรักพี่น้อง ทว่านางไร้เดียงสามากจริงเสียด้วย นางยังไม่เคยประจักษ์ว่าอำนาจที่แท้จริงนั้นปิดฟ้าคลุมดินจนสุดจะหลบเลี่ยงถึงเพียงใด ยามอยู่เบื้องหน้าอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ความเป็นกับความตาย เกียรติยศกับอัปยศ ล้วนเป็นเรื่องของวาจาประโยคเดียว
ตรงข้ามกับความคิดของสามี นี่เป็นหนแรกในชีวิตที่เซียวฮูหยินบังเกิดความลังเลต่อการตัดสินใจของตน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.