ขณะที่หนุ่มสาวสกุลหลิงกับเฉิงทางนี้เป็นกังวลเรื่องสุขภาพของฮั่วจวินหวา จวนหรู่หยางอ๋องทางนั้นก็ส่งข่าวมาว่าชายาผู้เฒ่าดูท่าจะไม่สู้ดีแล้ว
เพียงแต่เห็นชัดว่าชายาผู้เฒ่าไม่ยินยอมจากไปอย่างเงียบเชียบ ระหว่างป่วยหนักก็ยังมิวายถวายหนังสือร้องขอให้ฮ่องเต้ปูนบำเหน็จ ความว่า
‘…บุตรหลานคนอื่นๆ ข้าผู้เฒ่าไม่ห่วงพะวง สงสารก็แต่หนี่ว์อิ๋ง เสียบิดามารดาไปตั้งแต่อายุน้อยๆ วันหน้าผู้ปกครองจวนอ๋องก็คือท่านอากับอาสะใภ้ของนาง ความสัมพันธ์ห่างไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดเห็นแก่บิดาที่ด่วนจากไปของหนี่ว์อิ๋ง เวทนาสงสารนางมากหน่อย’
ฮ่องเต้ทอดถอนใจเมื่อนึกถึงญาติผู้น้องที่รบเพื่อพระองค์จนตัวตาย ด้วยเหตุนี้จึงมอบอากรจากพื้นที่ศักดินาอีกสองอำเภอเพิ่มให้ท่านหญิงอวี้ชัง ทั้งแต่งตั้งตำแหน่งที่มีหน้ามีตาอย่างซั่นฉีต้าฟู* ให้แก่ว่าที่สามีของนาง หรือก็คือน้องชายต่างมารดาของหลิงปู้อี๋
รัชทายาทสงสารเห็นใจยิ่งยวด “น้องหนี่ว์อิ๋งประพฤติดีเรียบร้อยมาแต่เล็ก หวังว่าชีวิตนางในวันข้างหน้าจะราบรื่นไร้กังวล เฉกเมล็ดพันธุ์ที่ถูกสายลมหอบร่วงหล่น แม้แรกเริ่มต้องเผชิญลมฝน แต่ท้ายที่สุดก็หยั่งรากแตกหน่อด้วยตนเอง สร้างตัวสร้างครอบครัวขึ้นมาจนได้”
วาจานี้บรรจุทั้งห้วงศิลป์ทั้งความรู้สึกอันลึกซึ้ง ฮ่องเต้กำลังรู้สึกซาบซึ้งใจ องค์ชายสามกลับโพล่งขึ้นประโยคหนึ่งอย่างไม่ให้ตั้งตัว “เสด็จพ่อควรรอจนชายาผู้เฒ่าจากไปก่อนค่อยแต่งตั้ง ยามนี้นางเพียงป่วยหนัก ยังไม่ทันลาโลกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
อารมณ์ซาบซึ้งใจของฮ่องเต้ถูกฉุดกลับไปทันใด พระองค์เหลือกตาใส่บุตรชายคนที่สามปราดหนึ่ง ต่างจากเทพเซียนเหยียนที่หัวเราะฮ่าๆ พลางชี้มือไปทางองค์ชายสาม “พระโอรสองค์นี้คล้ายฝ่าบาทยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ฟังจบผิวหน้าก็พลันอมเขียว ไล่ตะเพิดคนอื่นๆ ออกไปแล้วต่อว่าเทพเซียนเหยียน “พูดจาเหลวไหล ท่านแก่ชราตาฝ้าฟางแล้ว! วัยเยาว์เราใจกว้างถึงเพียงใด พวกที่เคยรังแกว่าเราพี่น้องไม่มีบิดาหัวเดียวกระเทียมลีบ เราไม่ได้ถือสาหาความใครเลยนะ!”
เทพเซียนเหยียนช้อนหนังท้องท้วมๆ ของตนพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ฝ่าบาทสบายพระทัยก็พอพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าปากอีกาขององค์ชายสามแม่นยำเกินไปใช่หรือไม่ ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่ ‘เข้าขั้นวิกฤต’ มาเจ็ดแปดวันแล้วก็ยังคงยืนหยัดได้อยู่จริงๆ เสียด้วย ครานี้มิเพียงฮ่องเต้ไม่พอใจอยู่บ้าง แม้แต่จวนหรู่หยางอ๋องก็ประดักประเดิดยิ่งยวด…มิใช่พวกเขาหวังให้ชายาผู้เฒ่าเร่งจากไปไวๆ แต่หากนางประคองตัวผ่านไปได้ขึ้นมา ทั้งอยู่ยาวต่อไปอีกสักสามปีห้าปีแปดปีสิบปีเล่า ‘ความห่วงใยในวาระสุดท้าย’ ที่ฮ่องเต้มีให้เหล่านั้นจะนับเป็นเรื่องใดกัน คราวหน้าถึง ‘วาระสุดท้าย’ อีก ยังจะต้องให้ ‘ความห่วงใย’ หรือไม่เล่า
กลับกันทางเรือนดอกซิ่งมีข่าวด่วนจากชุยโย่วส่งมาว่า…ฮั่วจวินหวาอาการหนักจริงๆ เสียแล้ว
ยามที่ข่าวส่งมาถึง ฮ่องเต้กำลังบังเกิดอารมณ์กวี นั่งอยู่ในตำหนักฉางชิวเขียนกลอนฟู่สำหรับเทศกาลซั่งซื่อร่วมกับฮองเฮาเจ้าประโยคข้าประโยค ครั้นได้ยินข่าวนี้ นิ้วมือของพระองค์ก็สั่นวูบ พาให้สีดำเข้มปื้นใหญ่ป้ายไปบนผ้าไหมสีขาวหิมะ สิ้นเสียงทอดถอนใจอย่างหดหู่ พระองค์ก็รีบสั่งการให้หลิงปู้อี๋หยุดงานในมือทั้งหมดรุดไปยังเรือนดอกซิ่ง เฉิงเซ่าซางเองก็รีบจัดเก็บสัมภาระไปดูแล
ยามที่หนุ่มสาวทั้งสองรุดไปถึง เรือนดอกซิ่งประหนึ่งอยู่ระหว่างเส้นแบ่งความเป็นและความตายแล้ว นอกเรือนคือเหล่าผู้ทำพิธีกรรมที่ขับร้องร่ายรำทั้งวันทั้งคืน ในเรือนคือกลิ่นยาอันอบอวล แออัดไปด้วยหมอหลวงเจ็ดแปดคน มีตัวยาล้ำค่ากับสิ่งอำนวยพรซึ่งส่งมาจากเมืองหลวงไม่ขาดสาย
ใต้ขอบตาของชุยโย่วดำคล้ำไปทั้งแถบ สีหน้าเศร้าระทม นั่งอยู่ข้างเตียงของฮั่วจวินหวาหลั่งน้ำตาโดยไร้เสียง อาเอ่าร่ำไห้จนขอบตาแห้งผากแล้ว สะอึกสะอื้นเสียงแหบเครือ ต่างจากหลิงปู้อี๋ที่นั่งคุกเข่าตัวตรงอยู่อีกด้าน เงียบขรึมเย็นยะเยือกปานขุนเขาสูงชันที่สุมด้วยหิมะหมื่นปีไม่สลาย
“จวินหวาน้อย จวินหวาน้อย เจ้าฟื้นสิ…” ชุยโย่วเกาะกุมมือของฮั่วจวินหวาไว้พลางร้องเรียกเบาๆ ไม่หยุด ทว่าจนแล้วจนรอดคนบนเตียงก็ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ
คนทั้งหมดเฝ้าอยู่ในห้องโดยตลอด ยามที่สีแห่งรัตติกาลปรกผืนป่าดอกซิ่ง เฉิงเซ่าซางได้ยินเสียงเปาะแปะดังถี่ เม็ดฝนเริ่มตกหนักแล้ว
จวบจนกลางดึกชุยโย่วรู้สึกได้ว่ามือตึงวูบ เขารีบยืดกายขึ้นร้องเรียกเสียงระรัว และแล้วฮั่วจวินหวาก็ฟื้นตื่นขึ้นมาโดยปราศจากเค้าลาง ทั้งคว้ากุมมือของเขาไว้แน่น
หลายเดือนที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่เฉิงเซ่าซางเคียงข้างฮั่วจวินหวามิใช่สั้นๆ กระนั้นนางกลับไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ปรากฏบนดวงหน้าของอีกฝ่ายมาก่อน…ฮั่วจวินหวาไม่ใช่เด็กสาวที่แง่งอนเอาแต่ใจคนเดิมนั้นอีกต่อไป หากแต่เป็นสตรีเจริญวัยที่แบกรับความเจ็บปวดผ่านการเคี่ยวกรำของกาลเวลามาผู้หนึ่ง
ฮั่วจวินหวาเพ่งมองชุยโย่วแน่วนิ่ง พึมพำราวคำละเมอ “อาหยวน อาหยวน…ท่านเด็ดลูกหม่อนมาแล้วหรือยัง…”
“เจ้า…เจ้า…” ชุยโย่วทำตัวไม่ถูก เดาไม่ออกว่านางจดจำเรื่องในอดีตได้ใช่หรือไม่
“…ข้าอยากได้ลูกหม่อนที่อยู่สูงสุดพวงนั้น สีของมันทั้งดำทั้งม่วง จะต้องหวานมากแน่ๆ…พี่ชาย ท่านอย่าดุข้าเลย ไม่ใช่ข้าที่เรียกให้อาหยวนปีนขึ้นไปสูงเพียงนั้นนะ ไม่เชื่อท่านถามเขาดูสิ…” ฮั่วจวินหวานอนนิ่งอยู่บนเตียง น้ำตาหยดใหญ่ไหลเผาะๆ ลงมาตามแก้มทั้งสองข้าง