ทว่าหลิงปู้อี๋คล้ายไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด แววตาที่มองดูรอยฟันบนแขนของเขาฉายความไม่พึงพอใจหลายส่วน ราวกับนางเล่นโกง ทำแบบสุกเอาเผากิน ไม่ได้ออกแรงฟันอย่างเต็มที่ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่านางออกแรงจนเจ็บกล้ามเนื้อกรามทั้งสองข้างเลยทีเดียว
วันรุ่งขึ้นหลังกลับถึงบ้าน อาจู้ส่ายหน้าพลางพันแผลรอยกัดบนแขนให้นางใหม่ หาได้ยากนักที่อีกฝ่ายไม่ไปบอกเรื่องนี้ต่อเซียวฮูหยิน “เพิ่งสูญเสียมารดาไป ซ้ำมีบิดาเยี่ยงหลิงโหวผู้นั้น ใต้เท้าหลิงช่างน่าสงสาร”
เฉิงเซ่าซางป้องต้นแขนที่ยังคงปวดแปลบ พ่นลมหายใจซึ่งอัดแน่นด้วยความขุ่นแค้นออกมาแรงๆ หนึ่งที…พูดอะไรของท่าน! หากไม่ใช่เพราะหลิงปู้อี๋เพิ่งเสียท่านแม่ไป ข้ามีหรือจะอดกลั้นต่อเขาอยู่เช่นนี้!
งานศพของฮั่วจวินหวาใหญ่โตยิ่ง ฮ่องเต้ให้ฝังร่างนางตามหลักเกณฑ์ที่เกือบเทียบเท่ากับพี่สาวน้องสาวของพระองค์ แน่นอนว่าลำดับตำแหน่งของหลิงปู้อี๋ยึดตามพิธีการของผู้เป็นบุตรแท้ๆ แต่ที่ค่อนข้างประดักประเดิดคือของหลิงอี้กับชุยโย่ว ผู้หนึ่งเป็นอดีตสามี อีกผู้หนึ่งเป็นว่าที่สามีซึ่งยังไม่ทันเริ่มทำหน้าที่ ในพิธีศพควรจัดลำดับหลักรองเช่นไรดีเล่า มิอาจไม่พูดว่าเหล่าขุนนางเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการมีความคิดริเริ่มดียิ่ง พวกเขาให้ชุยโย่วแทนตำแหน่งพี่ชายในสกุลเดิมของฮั่วจวินหวา ส่วนหลิงอี้ให้อยู่ตำแหน่งที่นั่งแขก
อันที่จริงตามความเห็นของเฉิงเซ่าซาง อดีตสามีภรรยาร้าวฉานกันถึงขั้นนี้จนแทบไม่ต่างอันใดกับศัตรูแล้ว ไยหลิงอี้ยังต้องมาร่วมงานศพเล่า ฮ่องเต้ก็ไม่ชอบหน้าเขาเสียหน่อย
เห็นชัดว่าเฉิงเซ่าซางประเมินระดับภูมิต้านทานของหลิงอี้ต่อการโจมตีต่ำไป ในวันส่งศพ เขามิเพียงมาร่วมพิธี ยังพาน้องชายต่างมารดาของหลิงปู้อี๋มาด้วย แม้แต่ท่านหญิงอวี้ชังก็อยู่เคียงข้างในฐานะว่าที่สะใภ้สกุลหลิง เดิมหลิงอี้อยากไปยืนข้างกายหลิงปู้อี๋ ทว่าถูกแม่ทัพใหญ่อู๋ที่อดกลั้นจนเหลืออดแล้วใช้แขนยันไปอีกทาง
เฉิงเซ่าซางเยาะหยันในใจไม่หยุด…ภรรยาเก่าที่ขวางหูขวางตาตายไปแล้ว บุตรชายคนโตที่กุมอำนาจสูงย่อมกลับบ้านได้เสียที ยังมีบุตรชายคนรองที่เพิ่งได้อวยยศหมาดๆ กับท่านหญิงว่าที่ลูกสะใภ้อีกคน ช่างเป็นสกุลหลิงที่แผ่กิ่งก้านเจริญวันเจริญคืนเสียนี่กระไร!
แต่สุดท้ายหลิงอี้ยังคงต้องปลีกตัวไปอย่างเร่งรีบ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบชุยโย่วร่ำไห้ชนิดไม่คำนึงถึงสิ่งใด หลั่งน้ำตาจนฟ้าดินหมุนคว้าง กระทั่งหวิดจะยืนไม่อยู่ ต้องให้หลิงปู้อี๋พยุงจึงจะขึ้นรถม้าในขบวนส่งศพได้ ภายใต้แววตาสื่อนัยลุ่มลึกของผู้คน ในที่สุดหลิงอี้ก็สวมหน้ากากเป็นคนสุภาพอ่อนโยนต่อไปไม่ไหว ต้องหาข้ออ้างขยับไปอยู่เบื้องหลังฝูงชน
ก่อนจากหลิงอี้มาหาเฉิงเซ่าซางเพื่อบอกกล่าวว่าจะกลับแล้ว ท่านหญิงอวี้ชังที่อยู่ด้านข้างกลับพูดอีกเรื่องหนึ่งเสียงนุ่มเบา “น่าเสียดายนัก เดิมทีอีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดครบห้าสิบปีของท่านโหว ทางบ้านเตรียมการไว้ดิบดีว่าจะจัดเลี้ยง บัดนี้กลับ…”
ว่าที่สามีของท่านหญิงผู้อุ้มทองแท่งสองแท่งครึ่ง* รีบค้อมกายกล่าวเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณท่านหญิงยิ่งนักที่เป็นห่วงท่านพ่อข้า ท่านพ่อตรากตรำมาครึ่งชีวิต ไม่เคยเสพสุขอย่างแท้จริงเลย เดิมทางบ้านอยากอาศัยงานเลี้ยงวันเกิดหนนี้ทำให้ท่านพ่อได้ดีใจสักหน่อย น่าเสียดายแท้ๆ…เพียงแต่มีท่านหญิงห่วงใยเช่นนี้ ผู้ใหญ่ผู้น้อยในสกุลหลิงล้วนซาบซึ้งหาที่สุดมิได้ขอรับ”
ท่านหญิงอวี้ชังพินิจดวงหน้าหล่อเหลาของว่าที่สามีซึ่งอ่อนกว่าพลางเอ่ยเสียงหวานใส “พูดอันใดของท่านกัน หรือว่าวันหน้าข้าจะไม่ใช่คนสกุลหลิง ไยต้องทำเสมือนคนอื่นคนไกลเยี่ยงนี้ด้วย”
เฉิงเซ่าซางใช้แววตาอันเฉยเมยชมดูการสนทนาของสองคนที่เหมือนเล่นงิ้วกันอยู่นี้ ก่อนแสร้งเผยสีหน้าตกใจ “โอ๊ะ ข้าถึงกับไม่รู้เลย สมควรถูกตีๆ ห้าสิบปีเป็นวันเกิดใหญ่ ตามหลักท่านโหวพึงฉลองให้เต็มที่ ทว่า…”
หลิงอี้โบกมือติดๆ กัน เอ่ยพร้อมสีหน้าถ่อมตน “ดังคำว่าผู้ตายเป็นใหญ่ มารดาของจื่อเซิ่งเพิ่งล่วงลับ กำลังเป็นช่วงเวลาที่ทางบ้านโศกเศร้า ข้าจะสะดวกใจจัดเลี้ยงใหญ่โตได้อย่างไรกัน” จบคำเขาก็พาบุตรชายคนรองกับท่านหญิงอวี้ชังจากไป
เฉิงเซ่าซางมองส่งอยู่ด้านหลัง ในใจเยาะหยันอีกหน…โศกเศร้า? พอทีเถิด!