ครั้นเฉิงเซ่าซางกลับถึงจวนสกุลเฉิง เห็นเซียวฮูหยินจัดเก็บจวนจนดูใหม่เอี่ยมแล้ว ทั้งในนอกล้วนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับพิธีแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
เพียงคิดว่าบุตรสาวกำลังจะออกเรือนไป เฉิงสื่อก็แสนจะห่อเหี่ยว ถอนอกถอนใจราวถูกคนตามทวงหนี้ก็มิปาน ส่วนเซียวฮูหยินถึงกับอ่อนโยนใจดีอย่างหาได้ยาก ไม่เคี่ยวเข็ญบุตรสาวอ่านตำราคัดอักษร และไม่ติเตียนที่บุตรสาวนอนตื่นสายนั่งเหม่อลอย ไม่ว่าอันใดล้วนตามใจบุตรสาวทั้งสิ้น
มีหลายหนเฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าอีกฝ่ายคล้ายอยากพูดคุยกับตนเรื่องวิถีของสตรีออกเรือน น่าเสียดายบรรยากาศอย่างไรก็ไม่ถูกต้องเสียที มักเป็นอีกฝ่ายมานั่งอยู่ในห้องของตนพักใหญ่โดยที่สองคนแม่ลูกไร้วาจาต่อกัน จากนั้นก็ถึงเวลากินอาหารเสียก่อน
สุดท้ายคล้ายเซียวฮูหยินคิดตกแล้ว จึงเอ่ยกับบุตรสาวว่า “ช่างเถิด ตอนนั้นก่อนออกเรือน ท่านยายของเจ้าพร่ำบอกพร่ำสอนแม่อยู่ครึ่งค่อนวัน แต่แม่ก็ยังคงทำจนอลหม่านไปหมด จื่อเซิ่งเป็นคนมีความคิดอ่าน ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวนี่กลัวนั่น บางเรื่องตัวเราตรึกตรองเองยังจะเหนือกว่าให้ผู้อื่นมาบอกมาสอนเรา ยิ่งไปกว่านั้นแม่ก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่น่ายกย่องอันใด”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง
ขณะที่เซียวฮูหยินกับชิงชงฮูหยินวุ่นเตรียมพิธีแต่งงานกับสินเจ้าสาวของเฉิงเซ่าซาง งานจิปาถะประจำวันในจวนสกุลเฉิงล้วนได้เฉิงยางดูแลเช่นเคย
เห็นเฉิงเซ่าซางอยู่ว่างจนเบื่อหน่าย บางครั้งเฉิงยางก็จะชวนอีกฝ่ายไปช่วยกันดูบัญชีคุมงานในจวน เมื่อมีน้องสาวผู้นี้อยู่ด้วย ตอนดูบัญชีกระทั่งแท่งคำนวณเฉิงยางก็ไม่ต้องใช้อีก อีกฝ่ายเพียงใช้ตากวาดผ่านตัวเลขรอบหนึ่ง ก็สามารถคำนวณในใจบอกคำตอบนางได้โดยตรง
วันนี้นางพาน้องสาวไปตรวจดูห้องว่างในจวน น้องสาวเห็นนางจับดูนู่นนี่อย่างละเอียดยิบจึงทักว่า “ไหนๆ ก็ไม่มีใครอยู่อาศัย ทั้งตอนทำพิธีแต่งงานแขกเหรื่อก็ไม่บุกมาถึงเรือนหลังอยู่แล้ว ท่านจะเปลืองแรงเช่นนี้ไปทำอะไร อารองอุตส่าห์กลับมาทั้งที พวกท่านพ่อลูกอยู่ด้วยกันมากๆ สิจึงจะถูก อีกหน่อยไว้ท่านออกเรือนไป อยากจะพูดคุยกับอารองให้เต็มที่ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อีก”
เฉิงยางยิ้มกล่าว “ท่านพ่อไม่ใช่ท่านลุงใหญ่ที่ไม่ว่าจะอบรมหรือชมเชยล้วนพูดได้นานเป็นครึ่งวัน วันที่ท่านพ่อกลับถึงบ้าน พวกเราสองคนพ่อลูกก็พูดคุยกันจบแล้ว ถัดจากนั้นมีแต่นั่งเฉยจ้องตากันไปมา…เฮ้อ ยังคงให้แล้วไปดีกว่า”
นางสั่งบ่าวตรวจสอบผนังกับเพดานให้ถี่ถ้วนว่ามีน้ำรั่วซึมอับชื้นหรือไม่ “รอจนจัดพิธีแต่งงานของเจ้าเสร็จ ถัดไปก็จะเป็นงานมงคลของพี่ใหญ่กับพี่สวี่เอ๋อ แล้วก็พิธียกพี่รองเป็นบุตรชายสกุลวั่น…ถึงตอนนั้นย่อมต้องเชิญผู้เฒ่าผู้นำตระกูลที่อยู่ภูมิลำเนาเดิมหลายท่านมา ห้องว่างเหล่านี้ก็จะได้ใช้แล้วไม่ใช่หรือ หากวันหน้าป้าสะใภ้ใหญ่จะต้องวุ่นจนเท้าไม่ติดพื้น ข้าก็มิสู้รวบรวมจัดการเสียก่อน…”
เห็นเฉิงยางง่วนทำงานจนหน้าตามอมแมม เฉิงเซ่าซางก็เอ่ยเสียงเบา “โชคยังดีที่ในบ้านมีท่านอยู่ ท่านแม่จึงมีผู้ช่วยที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง”
เฉิงยางเหลียวหลังมาตอบปนยิ้ม “ป้าสะใภ้ใหญ่เก่งฉกาจยิ่ง เฉพาะช่วงนี้เท่านั้นที่มีหลายงานมารวมกัน หาไม่นางกับน้าชิงย่อมจัดการได้อย่างเหลือเฟือ ไม่มีธุระอันใดให้ข้าทำหรอก”
เฉิงเซ่าซางถอนหายใจ…เอาเถิด เซียวฮูหยินไม่ได้รักถนอมผิดคน
พี่สาวน้องสาวทั้งสองนำพาเหล่าบ่าวรับใช้มาถึงห้องใต้หลังคาที่งามประณีตเป็นพิเศษห้องหนึ่ง ด้านในจัดวางเครื่องดนตรีหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นพิณ ขลุ่ยเซียว ซวิน เซิง* กลอง ขลุ่ยตี๋ยาว ขลุ่ยตี๋สั้น เซ่อยี่สิบห้าสาย เซ่อห้าสิบสาย…รวมถึงระฆังชุดทองเหลืองขนาดค่อนข้างเล็กอีกหนึ่งแถว
เฉิงเซ่าซางกล่าวด้วยความเลื่อมใส “เดิมนี่เป็นห้องของท่านปู่กระมัง”
เฉิงยางตอบ “ใช่ ขณะท่านปู่ยังมีชีวิตชอบมาอยู่ที่นี่…แต่ท่านย่าไม่ชอบที่นี่เลย”
พูดอันใดกันเล่า วันทั้งวันสามีหมกมุ่นกับดนตรี ไม่ยอมแยแสตน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชอบที่นี่สิแปลก!
“นี่คืออะไร เยากู่** หรือ” เฉิงเซ่าซางชี้มือไปยังกลองเล็กทรงกลมสีดำมะเมื่อมใบหนึ่งตรงมุมห้อง สองด้านของตัวกลองมีแถบผ้ากว้างห้อยลงมา
เฉิงยางมองพิจารณาก่อนเอ่ยอย่างลังเล “…อืม น่าจะเป็นผีกู่*** มากกว่านะ ครั้งแรกที่ป้าสะใภ้ใหญ่พาข้ามาเคยเอ่ยว่า…ขณะเดินทัพสู้รบ ใช้จัดระเบียบพลทหาร ต่อให้ขี่อยู่บนหลังม้าก็ตีได้”
เฉิงเซ่าซางเดินตรงไปใช้ฝ่ามือตีบนผีกู่ ตัวกลองก็เปล่งเสียงอันทุ้มลึกยาวไกล คล้ายสะท้านถึงก้นบึ้งหัวใจนาง