ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 134 – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 134

4 of 4หน้าถัดไป

ขณะนี้คฤหาสน์ซึ่งกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่หลังนี้แบ่งเป็นฝั่งตะวันออกกับตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนฝั่งตะวันออกถูกกวาดล้างไปแล้ว ทุกแห่งล้วนมีคนชูคบไฟเฝ้าคุม ยังคงตรวจตราตามซอกมุมเพื่อจับกุมปลาที่หลุดรอดหว่างแห ส่วนฝั่งตะวันตกมีเสียงปะทะเข่นฆ่าดังมาเป็นระลอก น่าจะยังมีคนต่อต้านอยู่

เผชิญหน้ากับศพชุ่มเลือดสดๆ ศพแล้วศพเล่าทอดร่างระเนระนาดอยู่บนพื้น ใบหน้าคนตายที่เปรอะคราบเลือดดูดุร้ายแต่ละดวงนั้นชวนสยดสยองปานฝันร้าย กระนั้นเฉิงเซ่าซางยังคงก้าวข้ามไปโดยไม่ส่งเสียง

แม้ยามปกติหลิงอี้ถูกพวกชุยโย่วที่เป็นขุนนางสำคัญดูแคลน แต่ถึงอย่างไรเขาก็สร้างตัวจากคุณความชอบทางทหาร เคยติดตามอยู่ด้านหลังบุกตะวันออกปราบตะวันตกมานานหลายปี แม่ทัพทหารประจำจวนล้วนเคยหล่อหลอมมาในสนามรบ ดังนั้นขณะบุกทะลวงคฤหาสน์หลังนี้ คงต้องผ่านการห้ำหั่นอันดุเดือดไปหนึ่งสมรภูมิ

กระทั่งตัดผ่านธรณีประตูกับลานไปหลายชั้น ในที่สุดเฉิงเซ่าซางก็มาถึงหน้าเรือนหลักอันโอ่อ่าสูงใหญ่ เห็นเหลียงชิวฉี่คุกเข่ากับพื้นกำลังรายงานต่อหลิงปู้อี๋ “…เป็นดังที่นายน้อยคาดไว้ ในหมู่เรือนขนาดใหญ่หลายแถวนี้มิเพียงมีห้องลับ ยังขุดทางใต้ดินสองสายทอดสู่หลังเขา หากมิใช่นายน้อยสั่งให้พวกข้าป้องกันล่วงหน้า ก็คงปล่อยให้เจ้าคนผู้นั้นหนีรอดไปเสียแล้ว!”

หลิงปู้อี๋สัมผัสได้ว่าด้านหลังมีคน จึงหมุนตัวมาช้าๆ ครั้นเห็นว่าเป็นเฉิงเซ่าซาง คล้ายเขามิได้รู้สึกประหลาดใจมากมาย กลับกันยังคลี่ยิ้มละไม น้ำเสียงเนิบนุ่ม “เซ่าซาง เจ้ามาได้อย่างไรกัน ที่นี่ไม่เหมาะที่เจ้าจะมา เจ้ากลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้า”

ดุจเดียวกับหลายต่อหลายครั้งยามที่เด็กสาวฉวยช่วงหลังเที่ยงแอบออกจากตำหนักฉางชิวไปหาเขาที่โถงประชุมของวังทักษิณ

เฉิงเซ่าซางรู้สึกลำคอแห้งผาก ชั่วขณะยากจะเปล่งเสียงได้

ยามนี้เหลียงชิวเฟยนำพาองครักษ์หลายคนคุมตัวคนผู้หนึ่งมาอย่างแน่นหนา คนผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าขาวสุภาพอ่อนโยน คือหลิงอี้นั่นเอง น่าเสียดายยามนี้เขาผมเผ้าสยายยุ่ง เสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่เหลือท่วงทีอันสง่าผ่อนคลายเช่นที่เคยเป็นแม้สักนิด

ทันทีที่เห็นหลิงปู้อี๋ หลิงอี้ก็ดิ้นรนร้องตะโกน “จื่อเซิ่ง! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ถึงกับบุกโจมตีบิดาตนเองได้!”

หลิงปู้อี๋ไม่ไยดีอีกฝ่าย ยังคงพิศมองเฉิงเซ่าซางดุจเดิม “ข้าให้คนส่งเจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน”

หลิงอี้ถูกเหลียงชิวเฟยเตะหนักๆ จนล้มลงพื้น จากนั้นดาบกระบี่หลายเล่มก็กดนาบจุดสำคัญบนร่างของเขาโดยพร้อมเพรียง หลิงอี้ครวญครางแล้วเรียกชื่อเล่นของบุตรชายดังลั่น “อาหลี อาหลี! ข้าเป็นบิดาเจ้านะ! ข้ารู้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจจากการตายของมารดาเจ้า แต่เราสองเป็นพ่อลูกกัน เลือดข้นกว่าน้ำ เจ้าจะทำเพื่อมารดาจนกระทำผิดมหันต์ฐานฆ่าบิดาไม่ได้เชียวนะ! อาหลี เจ้ามีสติหน่อย อย่าได้เลอะเลือนเป็นอันขาด ต่อให้ฝ่าบาททรงรักเอ็นดูเจ้าสักเพียงใด สังหารบิดาก็เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ที่ชั่วช้าสามานย์ที่สุด จะต้องถูกเถือเนื้อเป็นพันหมื่นชิ้น เจ้ามีหรือจะพ้นโทษทัณฑ์ไปได้!”

เฉิงเซ่าซางเพ่งมองนัยน์ตาสีอำพันอันงดงามคู่นั้นของหลิงปู้อี๋พลางเอ่ยอย่างยากลำบาก “ข้าเพียงอยากถามประโยคเดียว ประโยคที่ท่านติดค้างข้ามาเนิ่นนานแล้ว”

หลิงปู้อี๋กล่าวเสียงเบา “เจ้าถามมาสิ”

“ท่านเป็นใครกันแน่ หลิงปู้อี๋…หรือว่าฮั่วอู๋ซาง?” เฉิงเซ่าซางรวดร้าวไปแทบทั้งกายขณะถามประโยคนี้ออกไป

หลิงปู้อี๋พินิจเด็กสาวอย่างลึกซึ้ง ประหนึ่งกำลังชมดูห้วงฝันอันเพริศแพร้วที่อยู่ไกลจนสุดเอื้อม ครู่ใหญ่ให้หลังเขาค่อยๆ หมุนตัวมาเอ่ยกับหลิงอี้ที่อยู่บนพื้น “ท่านอาเขย อาหลีตายจากไปนานแล้ว”

หลิงอี้พลันหยุดดิ้นรน แววงุนงงเกลื่อนใบหน้า คล้ายไม่อาจฟังเข้าใจ

น้ำเสียงของหลิงปู้อี๋อ่อนโยน แต่กลับยิ่งชวนให้ผู้ฟังขนลุกซู่ “อาหลีสวมชุดของข้า ถูกหอกยาวที่แหลมคมเล่มหนึ่งแทงทะลุร่าง จากนั้นยกชูขึ้นสูง เสียบอยู่เหนือกำแพงเมือง ท่านอาเขย ท่านลืมสิ้นแล้วหรือ”

หลิงอี้อ้าปากกว้าง ตลอดร่างราวถูกสายฟ้าฟาด

หัวใจของเฉิงเซ่าซางดั่งมีจุดหนึ่งปริแยก พาให้บางสิ่งไหลพรั่งพรูออกมา

ขณะที่เบื้องหน้าสายตาพร่าเลือน นางค้นพบว่าชุดยาวที่ชายหนุ่มสวมใส่วันนี้ก็คือชุดที่นางกับเขาแรกพบหน้ากันในจวนสกุลวั่น…อาภรณ์ต่วนแพรงามวิจิตรสีแดงสดดุจโลหิต ทอลายสัตว์ปี้อั้นด้วยเส้นไหมสีทองอ่อน คลุมเสื้อนอกตัวใหญ่แขนกว้างสีแดงเข้ม ประดับสายคาดเอวเดินลายทองกับเกี้ยวทองคำบริสุทธิ์

สายลมราตรีหวีดหวิว โบกม้วนสีแดงเข้มอันร้อนแรงทั่วกายเขาให้ดุจดังดอกม่านจูซาหวา* กลาดเกลื่อนเส้นทางสู่ปรภพ แผ่ขยายสีโลหิตปกฟ้าคลุมดิน เขาในชั่วขณะนี้หล่อเหลาจนชวนให้อุทาน ขณะเดียวกันก็ดูแปลกหน้าจนพาให้ใจสั่นหวั่นหวาด

 

* ดอกม่านจูซาหวา เรียกอีกชื่อว่าดอกปี่อั้น (Red Spider Lily) คำว่าปี่อั้น แปลตรงตัวว่าอีกฟากฝั่ง ตามความเชื่อของจีนแม่น้ำปรภพจะแบ่งสองฟากฝั่งระหว่างคนเป็นและคนตายออกจากกัน บนฝั่งของคนตายจะมีดอกปี่อั้นบานอยู่ทั่ว ผู้ที่ข้ามมาฝั่งนี้ได้มีเพียงคนตายเท่านั้น ดังนั้นจึงมีอีกชื่อว่าดอกไม้คนตาย

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 .. 66 เวลา 12.00 .

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com