ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 136 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 136

ยามราตรีดึกสงัดบนท้องถนนอันโล่งว่างหนาวยะเยือก ทหารองครักษ์หนึ่งกลุ่มขี่ม้าไปอย่างเงียบขรึม บนแผ่นหินสีเทาอมเขียวบังเกิดเสียงเกือกม้าย่ำกุบกับแช่มช้า รอบรถม้าหนึ่งคันซึ่งถูกโอบล้อมอยู่ตรงกลางนั้นเว้นพื้นที่ว่างหนึ่งวง คงเหลือเพียงคนผู้หนึ่งขี่ม้าติดตามอยู่ด้านข้าง…เฉิงเซ่าซางห่มเสื้อคลุมขนสัตว์เนื้อนุ่มแน่น เปิดหน้าต่างรถค้างไว้แล้วสนทนากับองค์ชายสามที่อยู่เบื้องนอก

“เขาเคยหลุดปากพูดว่ารัชทายาทช่วยเขาขึ้นจากน้ำที่เย็นเฉียบเสียดกระดูก ในใจจึงซาบซึ้งมาตั้งแต่นั้น หม่อมฉันรู้สึกอยู่ตลอดว่าถ้อยคำนี้ไม่ถูกต้องตรงที่ใดสักอย่าง…ภูเขาถูเกากว่าครึ่งมีน้ำพุร้อน ต่อให้เป็นช่วงหนาวจัดของฤดูเหมันต์ น้ำในสระก็ยังคงอบอุ่น อีกอย่างที่ประทับของฝ่าบาทมีหรือจะจำเพาะเลือกบริเวณที่ไม่มีน้ำพุร้อน เช่นนี้ประโยคนั้นของเขาเป็นเรื่องใดกันเล่า

ทว่ากลับกันช่วงต้นฤดูวสันต์ในปีที่องค์ชายสามทรงถูกความเย็นเล่นงานจนไข้ขึ้นสูง สระน้ำในสุสานตงไป่คงยังมีแผ่นน้ำแข็งลอยอยู่บนผิวน้ำยากจะละลายกระมัง ปีนี้ใต้เท้าจื่อเซิ่งอายุครบยี่สิบสอง ตอนห้าหกขวบเขากับฮั่วฮูหยินพลัดหายไปด้วยกัน หนีเอาชีวิตรอดอยู่ภายนอกสองปี กลับมาได้ไม่กี่เดือนฮั่วฮูหยินก็ฟั่นเฟือนล้มป่วย เขาถูกฝ่าบาทรับตัวเข้าวัง พอดีเป็นเรื่องเมื่อสิบสี่ปีก่อนตอนที่เขาอายุราวแปดขวบ องค์ชายสาม…ความจริงแล้วผู้ที่ช่วยชีวิตเขาคือท่านสินะ”

องค์ชายสามเงียบงันเป็นนาน ค่อยตอบเสียงเบา “เจ้าพูดมาไม่ผิด ปีนั้นจื่อเซิ่งเพิ่งเข้าวัง แปลกแยกไม่เข้าพวก ไม่รู้เหตุใดวิ่งไปถึงริมสระน้ำที่ปลอดคนแล้วพลาดลื่นไถลลงไป ยังดีเขาคว้าหญ้าแห้งหลายต้นที่ริมตลิ่งไว้แน่น ข้าเองก็แปลกแยกไม่เข้าพวกมาแต่เล็ก หลบหาความสงบอยู่ตรงนั้นพอดี เห็นเหตุการณ์นี้จึงตรงไปดึงเขาขึ้นมา”

“ดังนั้นอาภรณ์ครึ่งร่างขององค์ชายจึงเปียกปอน กลับไปก็ถูกความเย็นเล่นงานจนไข้ขึ้นสูง” เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ “นับแต่นั้นพวกท่านก็ลอบไปมาหาสู่กัน กล่าวเช่นนี้องค์ชายทรงมี ‘ปณิธานอันยิ่งใหญ่’ แต่วัยเยาว์แล้วน่ะสิ?”

องค์ชายสามถลึงตาใส่เฉิงเซ่าซางปราดหนึ่งอย่างเยียบเย็น “เอาจิตใจของคนต่ำทรามมาวัดน้ำใจของวิญญูชน! ฮองเฮากับเสด็จแม่ข้าเป็นเช่นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง องค์ชายองค์หญิงของสองตำหนักก็ไม่นับว่าใกล้ชิดกัน ทว่าจื่อเซิ่งถูกเลี้ยงดูอยู่ในตำหนักฉางชิว ข้ากับเขาไม่อยากถูกคนชำเลืองมองจึงไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้”

“เช่นนั้นเรื่องที่รัชทายาทช่วยคนขึ้นจากน้ำก็เป็นความเท็จ?” เฉิงเซ่าซางมุ่นหัวคิ้ว

องค์ชายสามกล่าว “ตอนนั้นจื่อเซิ่งเพิ่งหัดว่ายน้ำเป็นได้ไม่นาน เห็นสระน้ำบนภูเขาถูเกาอบอุ่นจึงลงน้ำไปฝึกกลั้นหายใจ ใครจะรู้รัชทายาทนึกว่าเขาจมน้ำ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ ‘ช่วย’ เขาขึ้นมา เสด็จพ่อทราบเรื่องแล้วดีพระทัยยิ่ง ในหมู่ขุนนางราษฎรก็กล่าวขวัญเป็นเรื่องอันดีงาม พากันชื่นชมว่ารัชทายาทดูคล้ายบัณฑิตอ่อนแอ แท้ที่จริงมีน้ำใจหาญกล้า จื่อเซิ่งไม่สะดวกใจจะหักล้าง จึงปล่อยให้ผิดแล้วผิดเลย”

เฉิงเซ่าซางลอบทอดถอนใจ ความเข้าใจผิดหลายอย่าง…เพียงดูงดงามเท่านั้น

“เรื่องบนเจดีย์เยี่ยนหุย เจ้ามองออกได้อย่างไรกัน” องค์ชายสามไม่ลดละ

“มิสู้องค์ชายทรงบอกหม่อมฉันก่อน พวกท่านเริ่มคิดเรื่องปลดรัชทายาทตั้งแต่เมื่อใด” เฉิงเซ่าซางยื่นปลายนิ้วมาสัมผัสสายลมราตรีที่โชยเอื่อย

องค์ชายสามขบคิดชั่วครู่ ก่อนยอมรับตรงๆ “แรกเริ่มไม่ได้คิดถึงเรื่องปลดรัชทายาทหรอก…น่าจะเป็นสองสามปีหลังจากรัชทายาทแต่งงาน ข้ากับจื่อเซิ่งเพิ่งอายุสิบกว่า แค่ไม่พอใจที่คนสกุลเดิมของชายารัชทายาทก่อกรรมทำเข็ญในเมืองหลวง เมื่อแรกรัชทายาทไม่รู้แต่อย่างใด ต่อมาพวกเราลอบจัดการให้เจ้าทุกข์ได้ฟ้องร้องต่อหน้ารัชทายาท ใครจะรู้คนสกุลซุนกลอกกลิ้งเล่นลิ้น ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย ซ้ำย้อนเล่นงานหาว่าผู้อื่นป้ายสีพวกตน…จื่อเซิ่งโกรธจนหายใจหอบถี่ จึงพูดเปิดโปงความผิดของคนสกุลซุนต่อหน้ารัชทายาทด้วยตนเอง…”

“จุๆๆ” เฉิงเซ่าซางสั่นศีรษะระรัว “ตอนนั้นชื่อเสียงของชายารัชทายาทยังดียิ่ง ผู้คนล้วนชื่นชมว่า ‘จรรยาเพียบพร้อมเข้าที จิตใจบริสุทธิ์ดุจหญ้าหอม ละเอียดอ่อนดุจกล้วยไม้’ เกรงว่ารัชทายาทคงยากจะลงมือได้”

องค์ชายสามเหลือบมองเด็กสาวในรถปราดหนึ่ง “มิผิด ต่อให้ภายหลังความผิดปรากฏชัด รัชทายาทก็ติดขัดที่ชายาของตนมาร่ำไห้วอนขอความเมตตา ยังคงลังเลอยู่เฉยเช่นเดิม…ชายารัชทายาทนับว่าลงทุนเข้าเนื้อทีเดียว ว่ากันว่าเสียเด็กในครรภ์ไป สุดท้ายเป็นเสด็จพ่อลงมือเอง ถึงค่อยขับบิดา พี่ชาย กับเครือญาติสกุลซุนโขยงใหญ่กลับภูมิลำเนาไปในที่สุด”

ตอนนี้ขบวนรถเข้าใกล้ประตูของกำแพงวังทักษิณแล้ว ครั้นประตูทรงโค้งสูงเลื่อนผ่านเหนือศีรษะไปเรียบๆ ก็เผยให้เห็นจันทร์สกาวกลมเกลี้ยง สีแห่งรัตติกาลครามเข้ม หอธนูสองฟากตั้งตระหง่านสูงลิ่ว หลังคาบนยอดหอแหลมนั้นคล้ายใกล้จะเหยียดถึงจันทราก็มิปาน

“สรรพชีวิตไร้ความผิด ราษฎรน่าเวทนายิ่ง ชั่วชีวิตของพวกเขาเพียงหวังให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล หวังให้การปกครองสุจริตโปร่งใส ทั้งครอบครัวจึงจะได้สุขสงบปลอดภัย กินอิ่มสวมอุ่น หากวันใดเกิดภัยแล้ง น้ำท่วม ตั๊กแตนระบาด หรือทางการละโมบกดขี่ทารุณ วันนั้นพวกเขาก็จะพลันบ้านแตกสาแหรกขาด คนสกุลซุนเป็นเพียงตระกูลผู้มีอำนาจในท้องถิ่นทั่วไป ไหนเลยจะเคยเห็นความรุ่งโรจน์ของเมืองหลวง จึงพลันหลงระเริงลืมตัว ไม่รู้จักบันยะบันยัง ตั้งแต่เสด็จพ่อปูนบำเหน็จให้ตระกูลของชายารัชทายาทจนกระทั่งขับออกจากเมืองหลวงไปนั้น ในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงสองปีเศษ กลับมีหลายสิบครัวเรือนถูกฮุบที่นา คนนับร้อยถูกจับเป็นบ่าวทาส…ข้าจำได้ว่ามีแม่นางน้อยผู้หนึ่งอายุไล่เลี่ยกับเจ้าถูกน้องชายแท้ๆ ของชายารัชทายาทฉุดคร่าเข้าจวน ตอนที่ศพนางถูกโยนออกมา ผิวเนื้อไม่มีสักส่วนที่สมบูรณ์ดี” นัยน์ตาขององค์ชายสามดำทะมึน ต่อให้เรื่องผ่านมาหลายปีก็ยังยากจะอำพรางโทสะ

เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้ว “หวังฉุนนั้นแล้วไปเถิด แม้แต่โหลวจิงที่มีตำแหน่งผู้ช่วยพระอาจารย์รัชทายาทก็มองเฉยๆ เยี่ยงนี้น่ะหรือ”

องค์ชายสามเผยยิ้มหยัน “ช่วงต้นของราชวงศ์ก่อน เหล่าขุนนางเลือกสนับสนุนเหวินฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ สาเหตุใหญ่ข้อหนึ่งก็คือตระกูลมารดากับตระกูลภรรยาของเหวินฮ่องเต้ล้วนอ่อนแอขาดกำลังทรัพย์กำลังคน ส่วนราชวงศ์นี้ยังไม่ต้องเอ่ยถึงขุนนางในราชสำนัก ลำพังขุนนางประจำตำหนักบูรพาเองก็อาจหวังให้สกุลซุนถูกเนรเทศด้วยซ้ำไป”

“รัชทายาทยังคงวางเฉย?”

“ย่อมจะไม่ รัชทายาทพี่ชายใหญ่ของข้าเสียใจมาก ร่ำไห้ไปหนึ่งยก ไม่พูดไม่จากับชายาสามเดือน ทั้งมอบเงินจำนวนมากแก่ครอบครัวของแม่นางน้อยผู้นั้น อืม ราษฎรที่ถูกคนสกุลซุนทำร้ายล้วนได้รับค่าบำรุงขวัญในภายหลัง…ขอเพียงยังรอดชีวิตอยู่ล่ะก็” องค์ชายสามไม่วายเหน็บแนม

เฉิงเซ่าซางไม่เอ่ยคำอีก

“ด้วยคำนึงถึงหน้าตาของว่าที่ประมุขแผ่นดิน เสด็จพ่อได้แต่ขับคนสกุลซุนออกจากเมืองหลวงไปเงียบๆ ค่อยให้ขุนนางที่ภูมิลำเนาของพวกเขาลงโทษ หึๆ!” องค์ชายสามเปล่งเสียงหัวเราะเย็นชาติดๆ กัน “ข้าไม่สนใจที่พวกเขาแก่งแย่งชิงดี แต่ไม่ควรจะเอาราษฎรผู้บริสุทธิ์มาเป็นเครื่องมือ!”

เฉิงเซ่าซางอดไม่ได้ต้องเอ่ยเสียงเบา “องค์ชายอย่ากริ้วไปเลย”

“ข้าไม่โมโหหรอก” องค์ชายสามตอบ “เพราะระหว่างที่คนสกุลซุนกลับภูมิลำเนา เจอหินภูเขากลิ้งลงมาบนเส้นทางแคบ เจ็บตายไปไม่น้อย โดยเฉพาะน้องชายสองคนของชายารัชทายาท ล้วนถูกอัดกระแทกจนกลายเป็นเนื้อบดแล้ว”

เฉิงเซ่าซางเงยหน้ามองคนบนหลังม้าปราดหนึ่ง “สวรรค์มีตาโดยแท้”

องค์ชายสามกล่าว “มิผิด สวรรค์มีตา…เอาล่ะ อย่ามัวพูดร่ำไร ถึงตาเจ้าตอบแล้ว”

เฉิงเซ่าซางถอนหายใจ “จะว่าไปก็ไม่มีอันใดแปลกพิสดาร องค์ชายทรงเคยเห็นกระบวนท่า ‘นางแอ่นเหินวน’ ยอดวิชาประจำตระกูลของชุยโหวหรือไม่เล่า เพียงเขย่งแตะปลายเท้าไม่กี่คราก็เหินวนบนต้นไม้หนึ่งรอบได้ดุจนางแอ่นเลย”

“เจ้าฟังมาผิดแล้ว นั่นไม่ใช่ยอดวิชาประจำตระกูลชุย ข้าเคยได้ยินลุงรองของข้าบอกว่า…นั่นเป็นวิชาที่บิดาของชุยโหวซื้อจากจอมยุทธ์พเนจรผู้หนึ่งในราคาหลายร้อยเฉียน ต่อมาจอมยุทธ์พเนจรผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสตายไป สกุลชุยยังจัดงานศพให้เขาด้วย” องค์ชายสามเปิดโปงความจริงอย่างเอาจริงเอาจังยิ่ง

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com