ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 136
เฉิงเซ่าซางอับจนถ้อยคำ…องค์ชายสาม อุปนิสัยนี้ของท่านจะต้องปรับปรุงเสียบ้างจริงๆ ดังคำว่า ‘เปิดโปงกันไม่เปิดโปงข้อบกพร่องส่วนตน’ ท่านไม่เคยได้ยินเลยหรือ
“ไม่ว่ายอดวิชานั้นมีที่มาเช่นไร ด้วยน้ำใจไมตรีของชุยโหว มีหรือจะไม่สอนแก่บุตรชายของฮั่วฮูหยิน ดูจากอายุของคุณชายน้อยสกุลชุยทั้งสองที่เหินวนต้นไม้ได้หนึ่งรอบ เช่นนั้นด้วยความสามารถของใต้เท้าจื่อเซิ่ง การเหินร่างวนรอบเจดีย์ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขากลับบอกหม่อมฉันว่า…เขาเองก็กำลังแอบฟังคำสนทนาลับของคนในห้องอยู่ ซ้ำได้ยินไม่ชัดแต่อย่างใด…นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า!”
เฉิงเซ่าซางไม่แคล้วยิ้มเศร้า “หม่อมฉันควรจะคิดได้ตั้งแต่แรก มิน่าเล่า จิตใต้สำนึกจึงมักไม่ยอมเชื่อถือเขา” นางหยิบหยกวงแหวนครึ่งซีกออกจากอกเสื้อ ลูบไล้เบาๆ ไปบนนั้นซึ่งคงเหลือเพียงอักษร ‘รั่ว’* …หยกนี้เขาคืนให้นางตอนที่สองคนผูกพันกันแน่นแฟ้น
“หม่อมฉันได้ยินในห้องมีเสียงสองเสียง ก็นึกไปว่าข้างในมีคนสองคน อันที่จริงควรจะมีสามคนต่างหาก ซึ่งคนที่สามก็คือใต้เท้าจื่อเซิ่ง! เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทันทีที่สัมผัสได้ว่านอกห้องมีคนก็กระโดดออกจากหน้าต่าง ใช้วิชา ‘นางแอ่นเหินวน’ อ้อมมาถึงหน้าต่างของตัวเจดีย์อีกด้านที่อยู่เบื้องหลังหม่อมฉัน ครั้นเห็นว่าเป็นหม่อมฉัน เขาก็รีบแสร้งทำทีว่ากำลังแอบฟังอยู่ ทั้งยังหักหยกวงแหวนของหม่อมฉันเพื่อขู่ให้กลัว คาดว่าหยกอีกครึ่งซีกคงอยู่ในมือเขานั่นเอง”
ขณะผ่านหอสังเกตการณ์อันสูงโอฬารแต่ละชั้น เงาดำก็พาดลงบนหนึ่งม้ากับหนึ่งรถไปครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้เบื้องหน้าคือตำหนักฉงหมิงอันใหญ่โตสว่างไสวทางทิศตะวันตกของวังทักษิณแล้ว
องค์ชายสามเงียบงันไปเนิ่นนานก่อนกล่าว “เจ้าทายไม่ผิดสักนิด วันนั้นในห้องบนเจดีย์มีสามคนจริงๆ คือข้า จื่อเซิ่ง และอาจารย์โอวหยางกวน เพียงแต่…พวกเราไม่ได้จะคิดร้ายต่อรัชทายาท วันนั้นพวกเราแค่หารือเรื่องที่ตราประทับของตำหนักบูรพาหายไป ยังคาดคะเนกันอยู่ไม่รู้ว่าเป็นตระกูลใดลงมือ”
“ข้อนี้หม่อมฉันเชื่อ” เฉิงเซ่าซางเอ่ย
เมื่อรถม้าจอดสนิท ผู้บังคับรถซึ่งทั้งหูหนวกและเป็นใบ้ก็ยกม้านั่งสำหรับรองเหยียบมาจัดวาง ให้เด็กสาวจับตัวรถก้าวลงมา ฝ่ายองค์ชายสามก็ค้อมเอวลงจากม้าเช่นกัน
เฉิงเซ่าซางยืนมั่นคงแล้วสบตาองค์ชายสามตรงๆ “เคยมีคนบอกหม่อมฉัน นับแต่ขุนนางใช้เล่ห์สกปรกเปลี่ยนตัวรัชทายาท เป็นเหตุให้อู่ฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนฆ่าล้างจนธารเลือดนอง ก็ไม่มีใครกล้าชิงตำแหน่งว่าที่ประมุขแผ่นดินด้วยวิธีใส่ร้ายป้ายสีอีก ถ้าเช่นนั้น…ขอเพียงฝ่าบาทตั้งพระทัยไม่เปลี่ยน ตำแหน่งของรัชทายาทก็ย่อมแข็งแกร่งยากจะทำลาย รัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้อ่อนโยนอ่อนแอเช่นกันก็ยังได้สืบบัลลังก์เลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงรัชทายาทของพวกเรา
เอ่ยให้ชัดขึ้นก็คือ…คู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกท่านแท้จริงแล้วไม่ใช่รัชทายาท หากแต่เป็นฝ่าบาท เช่นนั้นวิธีใดเล่าจึงจะทำให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัยได้ ในเมื่อไม่อาจใส่ร้ายป้ายสี ไม่อาจยุแยงตะแคงรั่ว ก็ได้แต่ใช้ยุทธวิธีอันตรงไปตรงมา
พวกท่านต้องการทำให้ฝ่าบาททรงเห็นชัดแจ้ง…ว่ารัชทายาทไม่เหมาะจะเป็นเจ้าเหนือหัวจริงๆ”
เฉิงเซ่าซางมองดูตำหนักใหญ่อันสว่างเรืองรองตรงหน้า ก่อนก้มลงลูบชุดกระโปรงบนร่างให้เรียบ “ดังนั้นเมื่อคืนใต้เท้าจื่อเซิ่งจึงคิดว่าไหนๆ ตนเองกำลังจะฆ่าล้างสกุลหลิงทั้งตระกูลแล้ว ก็มิสู้ช่วยองค์ชายสามกระทำการใหญ่ให้เสร็จสิ้นไปพร้อมกันเสียเลย”
นางยกยิ้มน้อยๆ “นับจากเมื่อคืน เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ต่างจากเกาฮ่องเต้ในอดีตยามได้เห็นสี่ผู้เฒ่าแห่งภูเขาซังซาน* รู้ว่าสถานการณ์ไม่อาจกอบกู้ ลิขิตฟ้าไม่อาจขัดขืน ผู้ซึ่งนั่งตำแหน่งว่าที่ประมุขแผ่นดินได้มั่นคงก็ย่อมจะนั่งได้มั่นคง ผู้ซึ่งนั่งได้ไม่มั่นคงก็ไม่มีทางจะนั่งมั่นคงไปได้”
“จื่อเซิ่ง จื่อเซิ่ง…” องค์ชายสามร่างสั่นสะท้าน สองตามีหยาดน้ำขังคลอ “เขาไม่ควร…ไม่ควรเลย…”
“เขาเป็นคนเช่นนี้นี่เอง” เฉิงเซ่าซางดวงหน้าขาวดุจสีหิมะ รูปร่างบอบบาง “ทั้งผ่าเผยทั้งเก็บงำ ทั้งห้าวหาญทั้งละเอียดอ่อน เขาเต็มใจสละชีวิตช่วยหม่อมฉันได้ ทว่าก็ทอดทิ้งหม่อมฉันได้อย่างไม่ลังเลแม้สักนิด…”
นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย ให้ความชื้นในดวงตาร่วงริน ยามที่เงยหน้าขึ้นอีกครา นางชี้มือไปยังตำหนักใหญ่เบื้องหน้า “ฝ่าบาททรงเลือกประชุมที่นี่ รูปการณ์คงมิใช่เล็กๆ องค์ชายสามมิสู้ตรัสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หม่อมฉันได้รู้สักหน่อย”
องค์ชายสามมองไปเบื้องหน้า ก่อนตอบเสียงหนัก “วันนี้ตั้งแต่เช้า ขุนนางสำคัญสิบแปดคนก็เข้าชื่อกันกล่าวโทษจื่อเซิ่ง ชุยโหวซึ่งพักฟื้นอาการป่วยอยู่ที่บ้านรู้ข่าวก็รีบเข้าวังมาทูลขอพระเมตตา ทว่าชุยโหวกลับชี้แจงสาเหตุออกมาไม่ได้ เสด็จพ่อกริ้วหนักเป็นทุนเดิมจึงไม่ยอมรับฟังเขา ยืดเยื้อเช่นนี้ถึงยามบ่าย เฉินอันกั๋วนำทหารส่วนตัวของจื่อเซิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง ข้ากับชุยโหวไปสอบสวนแล้วค่อยได้ยินว่า…”
เขายากจะเลือกถ้อยคำ คล้ายยังกังขายิ่ง “อันใดคือบิดาของจื่อเซิ่งไม่ใช่หลิงอี้! เช่นนั้นจะเป็นใครได้อีก ยังมีคำว่าชำระแค้นแทนบิดามารดาอะไรนั่น ข้า…ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ชุยโหวเองก็ไม่รู้ที่มาที่ไป พวกเราจึงไปเรือนดอกซิ่งเพื่อจะสอบถามหญิงชราผู้หนึ่ง…”
“อาเอ่า?” เฉิงเซ่าซางถาม
“ถูกต้อง ก็คือนาง ใครจะรู้หลังจากฮั่วฮูหยินถึงแก่กรรม จื่อเซิ่งได้ส่งนางไปพักผ่อนใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทแล้ว ชั่วครู่ชั่วยามพวกเราจะเสาะหาคนพบได้อย่างไร!” องค์ชายสามร้อนใจจนคิ้วตั้งสูง
“ต้าซือคงไช่อวิ่นพูดว่า…บุตรชายของฮั่วฮูหยินอาจตายในการศึกอันโกลาหลไปตั้งแต่แรก จื่อเซิ่งเป็นเด็กที่นางเก็บมา นายกองเถียนพูดว่า…จื่อเซิ่งอาจเป็นทายาทตระกูลศัตรูของหลิงอี้ แอบอ้างสวมรอยมาสิบกว่าปี การกระทำเมื่อคืนก็เพื่อล้างแค้น ทว่าที่พูดกันเยอะที่สุดคือ…จื่อเซิ่งคับแค้นแทนฮั่วฮูหยิน จึงได้สังหารบิดาผู้ให้กำเนิด…สรุปคือตอนนี้เรื่องราวไม่ชัดแจ้ง พูดกันไปต่างๆ นานา!
เดิมเสด็จพ่อหมายนำตัวจื่อเซิ่งกลับมาซักถาม ทว่าขุดภูเขาเจาะถ้ำใช้แรงงานมากเหลือเกิน บางคนจึงพูดว่าไหนๆ จื่อเซิ่งก็มีโทษตาย มิสู้ปล่อยให้เขาอยู่ก้นผาไปตามยถากรรม…ยื้อกันอยู่เช่นนี้จนฟ้ามืด! ข้าจึงได้แต่ไปสอบสวนทหารส่วนตัวของจื่อเซิ่งอีกครั้ง จนบัดนี้เหลียงชิวฉี่ที่เป็นหัวหน้าก็ยังหมดสติไม่ฟื้น อีกคนที่ชื่อ ‘อาเฟย’ พูดจาสับสนไม่ปะติดปะต่อ สุดท้ายเขาบอกว่าเจ้าน่าจะรู้เรื่อง”
เฉิงเซ่าซางหัวเราะขมขื่นหนึ่งเสียง “มิผิด หม่อมฉันรู้เรื่องจริงๆ เกรงว่าตอนนี้แม้แต่ใต้เท้าจื่อเซิ่งก็รู้มากไม่เท่าหม่อมฉัน หม่อมฉันคิดได้กระจ่างทั้งหมดแล้ว”
นางพูดพลางยกเท้าเดินมุ่งไปยังตำหนักใหญ่เบื้องหน้า องค์ชายสามยุดแขนนางไว้ก่อนถามเสียงเย็น “เจ้ามีความมั่นใจหรือไม่”
เฉิงเซ่าซางถูกฉุดดึงจนซวนเซ เอียงกายยืนได้มั่นคงค่อยเอ่ยเรียบๆ “หม่อมฉันเคยพูดไปแล้ว หากเขาไม่อาจอยู่รอด หม่อมฉันจะชดใช้ชีวิตให้เขา…เป็นอย่างไร”
เวลานี้องค์ชายสามรุ่มร้อนจนไฟโทสะลุกโพลง มีหรือจะทนมองอาการไม่ยี่หระของนางได้ เขาต่อว่าด้วยเสียงที่กดให้เบาลง “อย่ามาพูดจาเหลวไหลนะ! จื่อเซิ่งอุตส่าห์ควักหัวใจให้เจ้า ที่แท้เจ้าเคยยืนในมุมของเขา แล้วคิดอ่านแทนเขาสักน้อยนิดหรือไม่! ยามที่ภัยใหญ่มาเยือน สิ่งที่เจ้าคิดถึงก่อนคือทำอย่างไรให้สกุลเฉิงอยู่นอกเหนือเรื่องราว ยามนี้เจ้าพูดได้มีเหตุมีผลทุกคำ เรียบเรียงได้ชัดแจ้ง ราวกับเป็นคนนอกเหตุการณ์ผู้หนึ่ง! เจ้ารู้บ้างหรือไม่ อันใดเรียกว่า ‘ห่วงใยจนว้าวุ่น’ อันใดเรียกว่า ‘ร่วมเป็นร่วมตาย’ หรือว่าเลือดของเจ้ามันเย็นชืด…”
ฟังมาถึงประโยคนี้ เฉิงเซ่าซางไม่อาจข่มกลั้นได้ต่อไป หยกวงแหวนครึ่งซีกในมือพลันถูกขว้างลงพื้นอย่างหนักหน่วง สิ้นเสียงเคร้งหนึ่งหน หยกก็แหลกกระจาย!
“หม่อมฉันบ่มสุราเป็น!” หน้าอกนางยุบพอง ความโกรธเกรี้ยวท่วมท้น ในสองตาดุจมีสะเก็ดไฟโลดเต้น
องค์ชายสามตะลึงงัน
“…หม่อมฉันสามารถบ่มสุรารสเข้มข้นบริสุทธิ์ที่สุดในเมืองหลวง! แต่หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาททรงส่งเสริมความมัธยัสถ์ การบ่มสุราต้องสิ้นเปลืองเสบียงจำนวนมาก ไม่อาจเผยแพร่ไปทั่วได้ หม่อมฉันประดิษฐ์กังหันวิดน้ำเป็น กังหันวิดน้ำที่หม่อมฉันประดิษฐ์สะดวกคล่องตัวกว่าของโรงช่างโรงใด ประหยัดแรงคนแรงสัตว์ลงได้ถึงสามส่วน ทว่าเพราะหม่อมฉันเป็นสตรี นอกจากรับบำเหน็จเป็นเงินทองที่นาจำนวนหนึ่ง กลับไม่อาจเป็นขุนนางได้ หม่อมฉันยังก่อเตาเผากระเบื้องเป็น แผ่นกระเบื้องที่หม่อมฉันเผาออกมาแข็งแกร่งทนทานเช่นเดียวกับของวังหลวง แต่กลับประหยัดฟืนและแรงคนลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง!
มีหรือไม่มีหลิงปู้อี๋ หม่อมฉันล้วนเป็นคนผู้หนึ่งซึ่งยังมีลมหายใจดีอยู่ และมีบิดามารดากับพี่น้องที่ต้องดูแล! ไม่อาจเป็นเพราะหม่อมฉันคือสตรี จึงสมควรถูกคนคุกคามเค้นถามว่า ‘บุรุษของเจ้าจะตายแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ไปตายเป็นเพื่อนเขา’!
ยิ่งไม่อาจเป็นเพราะหม่อมฉันคือสตรี ตั้งแต่ต้นจนจบจึงถูกปิดบัง ไม่รู้กระทั่งว่าที่สามีชื่อแซ่อันใดเป็นคนเช่นไร สามวันก่อนแต่งงานเพิ่งเดาความจริงที่เหมือนอสนีผ่ากลางฟ้าแจ้งนี้ออกเอง แต่ก็ยังไม่อาจคั่งแค้น ไม่อาจโกรธเกรี้ยว หาไม่ก็คือใจจืดไร้น้ำใจเห็นแก่ตัว
เขาปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างควักหัวใจให้ หม่อมฉันก็จะผ่าร่างควักหัวใจออกมาคืนให้แก่เขา! เขาช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันก็จะตอบแทนด้วยชีวิต! คืนนี้หากหม่อมฉันช่วยชีวิตเขาไม่ได้ หม่อมฉันจะเอาชีวิตชดใช้ จะไม่รักตัวกลัวตายเป็นอันขาด!
หากมีสักวันที่หม่อมฉันอยากจะตาย นั่นต้องเป็นเพราะหม่อมฉันเบื่อหน่ายชีวิตแล้ว ไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องไปร่วมเป็นร่วมตายกับผู้อื่น! หลิงปู้อี๋คือบุรุษที่หม่อมฉันชมชอบมากที่สุดของที่สุดในใต้หล้านี้ กระนั้นหม่อมฉันก็ยังคงเป็นตัวหม่อมฉันเอง!”
สองไหล่ของเด็กสาวแบบบาง สั่นระริกปานปีกผีเสื้อ ทว่ารักษาท่วงทีที่หยัดตรงไว้ บนดวงหน้าอันซีดขาวเปราะบางมีน้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากลิ้งเผาะๆ ลงมาเปียกสาบเสื้อ…ความแกร่งกร้าวที่ใกล้เคียงกับการฟันฝ่าโดยลำพังนี้กลับกอปรเป็นความทะนงตนอันเปี่ยมเสน่ห์ชนิดหนึ่ง
* โม่เป่ย หมายถึงพื้นที่ตอนเหนือของทะเลทรายโกบี
* อักษร ‘รั่ว 弱’ (อ่อนแอ) เป็นครึ่งหนึ่งของอักษร ‘เหนี่ยว 嫋’ (อ่อนช้อย) ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเฉิงเซ่าซาง
* สี่ผู้เฒ่าแห่งภูเขาซังซาน เดิมคือสี่ในเจ็ดสิบราชบัณฑิตเอกของฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) เนื่องจากไม่พอใจการปกครองอันทารุณของฉินสื่อหวง พวกเขาจึงเร้นกายบนภูเขาซังซาน ฮั่นเกาจู่ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (หรือก็คือเกาฮ่องเต้ที่ผู้เขียนอ้างอิงถึง) เคยเชิญสี่ผู้เฒ่ามารับราชการทว่าถูกปฏิเสธ ในขณะที่พระองค์มีความคิดจะเปลี่ยนตัวรัชทายาท ฝ่ายของรัชทายาทเชิญสี่ผู้เฒ่ามาได้สำเร็จ พระองค์จึงเลิกล้มความคิด เพราะเห็นว่ารัชทายาทมีฐานะมั่นคงถึงขั้นได้รับการสนับสนุนจากปราชญ์ที่ลือนามแล้ว หากเปลี่ยนตัวรัชทายาท ราชสำนักอาจระส่ำระสายได้ สุดท้ายรัชทายาทก็ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ฮั่นฮุ่ยตี้
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤษภาคม 66)