ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 7 บทที่ 162
ดื่มสุรากันไปสักพัก องค์หญิงรองก็ถือจอกสุราเดินตรงมา ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “หลิงจวิน ผู้ว่าการเหลียงดีกับเจ้าหรือไม่”
เฉิงเซ่าซางพลันอยากแสดง ‘ความเห็นอันสูงส่ง’ ว่า…ผู้ว่าการเหลียงยิ่งมีอายุยิ่งมีกำลังวังชา แต่เห็นชัดว่าชวีหลิงจวินเข้าใจคำถามขององค์หญิงรอง รู้ว่ามิใช่เรื่องตื้นเขินเช่นนั้น จึงขบคิดครู่หนึ่งก่อนตอบจากใจจริง “ขอทูลถ้อยคำอันไม่สำรวมสักประโยค นับแต่แต่งงานกับใต้เท้าผู้ว่าการ หม่อมฉันถึงกับรู้สึกว่ายี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ล้วนมีชีวิตอยู่เสียเปล่า”
เฉิงเซ่าซางถูกคำสารภาพความในใจอันร้อนแรงของอีกฝ่ายทำให้สะดุ้งโหยง…บรรยายถึงขั้นนี้เกินจริงไปหรือไม่
ตั้งแต่ก่อนแต่งงานชวีหลิงจวินก็เป็นสหายกับองค์หญิงรอง ยามนี้จึงไม่มัวพูดเลี่ยง “ไม่ขอปิดบังองค์หญิง เดิมหม่อมฉันทำเพื่อวงศ์ตระกูลกับบุตรธิดาจึงได้ตอบรับแต่งงานใหม่ ทว่าห้าหกปีมานี้หม่อมฉันกลับสุขใจยิ่งกว่าช่วงเวลาใดในอดีต ช่วงที่อยู่กับตงไห่อ๋อง หม่อมฉันรู้ว่าเขาหมั้นหมายแต่เล็ก ในใจหม่อมฉันจึงประหวั่นเรื่อยมา ต่อมาแต่งกับเหลียงซั่ง นั่นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง หม่อมฉันหมายตาคู่หมั้นของผู้อื่น ดังนั้นสวรรค์จึงลงโทษหม่อมฉันให้มีชีวิตสิบปีแบบอยู่มิสู้ตาย เดิมหม่อมฉันนึกว่าจะต้องเป็นเยี่ยงนี้ไปทั้งชาติแล้ว ใครจะรู้บัดนี้หม่อมฉันค่อยได้ลิ้มรสชาติของชีวิตคู่ที่มีความรู้สึกลึกซึ้งจริงใจต่อกัน ค่อยรู้สึกว่าสองเท้าหยั่งพื้นได้มั่นคง หัวใจทั้งดวงมีที่ให้ฝากฝัง มิใช่ลอยคว้างไปมาไร้ที่พักพิงอีก”
นางพูดไปก็สะเทือนใจ พาให้องค์หญิงรองขอบตาเปียกชื้น ครั้นองค์หญิงรองกลับมายังที่นั่งของตน เห็นองค์หญิงสามเริ่มฉีกหมูแผ่นจานที่สามแล้วก็ตำหนิน้องสาวเบาๆ “เจ้ากินให้น้อยๆ หน่อยเถิด อวบอิ่มเกินพอดีจะกลายเป็นแย่!”
องค์หญิงสามตอบอย่างไม่ยี่หระ “กลัวอันใดเล่า ต่อให้ข้ากลายเป็นครุใส่น้ำที่อ้วนฉุ ราชบุตรเขยก็ไม่มีทางจะเลิกกับข้า อีกอย่างพักนี้ท่านไม่เห็นราชบุตรเขยของข้าหรือ อวบอิ่มกว่าข้าเสียอีกนะ หนก่อนเสด็จพ่อยังทรงล้อว่าพวกเราสองคนนับวันยิ่งเป็นคู่ชีวิตที่หน้าตาคล้ายกัน”
องค์หญิงรองลำคอตีบตัน ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินหลิงจวินเล่าว่านางกับผู้ว่าการเหลียงเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว ทำให้ผู้อื่นนึกอิจฉา นี่ไม่สะกิดใจเจ้าสักนิดเลยหรือไร” นางหวังว่าน้องสาวจะไม่เอาแต่หมกมุ่นเสพสุขด้านวัตถุ ชั่วดีอย่างไรก็ขวนขวายด้านจิตใจบ้าง
มุมปากองค์หญิงสามแต้มรอยประชด “สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว เรื่องเช่นนี้ได้แต่รอวาสนา ไม่อาจแข็งขืนเรียกร้อง พี่หญิงรอง ท่านโชคดี ผู้อื่นกลับไม่แน่ อย่างชวีหลิงจวินทนทุกข์สิบปีค่อยแลกได้มาซึ่งวันเวลาดีๆ ในปัจจุบัน อย่างเสด็จแม่ลดตัวเป็นภรรยารองมาครึ่งชีวิต หากไม่ใช่ตงไห่อ๋องไร้ความสามารถ ส่วนเจ้าสามรู้จักรักดี ก็ไม่รู้ว่าจะเวียนมาถึงวันนี้ที่ได้ลืมตาอ้าปากหรือไม่”
“เจ้าอย่าได้พูดเหลวไหล เซวียนไทเฮากับเสด็จพ่อทรงไม่เคยทำให้เสด็จแม่เจ็บช้ำ” องค์หญิงรองโต้แย้ง
“หึๆ ก็จริง เสด็จแม่เป็นฮองเฮาหรือไม่ล้วนมีเกียรติไม่ต่างกัน” องค์หญิงสามหลุดหัวเราะ “สรุปคือ…ข้าผู้น้องไม่มีปณิธานในด้านนี้ ใช้ชีวิตสงบมีอิสระก็เพียงพอแล้ว”
นางเหลือบมองฝั่งตรงข้ามปราดหนึ่ง “อย่างเฉิงเซ่าซางถึงจะดูร่าเริง หลายปีมานี้ก็ทนทุกข์ไม่ใช่น้อย ต่อไปยังไม่รู้จะเป็นเยี่ยงไรเลย ตอนนี้ข้ามีสุรา มีเนื้อสัตว์ มีเรื่องสนุก ทั้งยังมีบ่าวไพร่กับสุนัขล่าเนื้อให้เรียกใช้ มีความเป็นอยู่ชั้นยอดเหนือผู้คน ไยต้องขัดพระทัยเสด็จพ่อ รนหาทุกข์ใส่ตัวเล่า อย่างน้องหญิงห้าเรียกว่ามองได้ไม่ชัด มนุษย์ปุถุชน…ก็ควรจะยอมรับชะตา ใช้ชีวิตไปแบบมนุษย์ปุถุชนสิ”
องค์หญิงรองจนใจ ในเมื่อพูดคุยกับน้องหญิงสามของตนไม่ถูกคอ นางก็มาสนทนากับชวีหลิงจวินต่อ เฉิงเซ่าซางเห็นเช่นนั้นจึงฉวยจังหวะอ้างว่าไปผลัดผ้า แล้วออกจากโถงจัดเลี้ยงไป
นางชำนาญเส้นทางในตำหนักฉางชิวดี ต่อให้บัดนี้ตำหนักเปลี่ยนเจ้าของ แต่เพราะนางมาถวายรายงานต่อเยวี่ยฮองเฮาบ่อยครั้ง นางกำนัลขันทีส่วนใหญ่จึงรู้จักนาง ครั้นผลัดผ้าแต่งตัวเสร็จ เฉิงเซ่าซางไม่อยากรีบกลับเข้างานเลี้ยง จึงเดินเลียบทางระเบียงไปถึงลานท้ายตำหนักปีก แหงนหน้าชมต้นบุปผาต้นหนึ่งซึ่งออกดอกงามสะพรั่งดั่งผ้าดิ้นแพร
ไม่รู้ยืนอยู่เนิ่นนานเท่าใด เฉิงเซ่าซางพรูลมหายใจที่มีกลิ่นสุราออกมา กระนั้นช่องอกก็ยังคงอึดอัด นางไม่ชอบงานเลี้ยงในวันนี้ ไม่ชอบคำหยอกเย้าสรวลเสของบรรดาฮูหยินสูงศักดิ์ ไม่ชอบรอยยิ้มอันเปี่ยมสุขพึงพอใจของชวีหลิงจวิน แม้กระทั่งรสสุราก็ยังเปรี้ยวเฝื่อนแสบคอ
เฮ้อ คนเราหากใช้ชีวิตได้ตามใจปรารถนาจะดีสักเพียงใด ยามที่ไม่อยากยิ้มประจบก็ทำหน้าบึ้ง ยามที่ไม่อยากพบปะแขกก็ปฏิเสธในคำเดียว ยามที่ไม่อยากเศร้าเสียใจก็ควักหัวใจออกมาล้างๆ แล้วใส่กลับเข้าไปใช้ต่อ
เนื่องจากงานเลี้ยงที่ตำหนักด้านหน้ากำลังครึกครื้น เหล่านางกำนัลวุ่นอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้ ลานแห่งนี้จึงเงียบเชียบไร้ผู้คน สงบเสียจนได้ยินกระทั่งเสียงลมรวยริน ทว่าอาจเป็นอาการหูแว่วไปเองของเฉิงเซ่าซางผู้เมาสุรานิดๆ ก็เป็นได้
“เซ่าซาง…”
มีสุ้มเสียงดังมาจากที่ห่างไกล คล้ายมีคนกำลังเรียกนางอยู่ เฉิงเซ่าซางคิดว่าตนอาจจะหูแว่ว
“เซ่าซาง!” เสียงบุรุษดังมาอีกคราโดยไม่อนุญาตให้สงสัย นางหมุนตัวไปในอาการทึ่มทื่อ
ฮั่วปู้อี๋ใช้มือข้างหนึ่งยันเสาระเบียง คลี่ยิ้มพร้อมคิ้วตาอันหมดจด “ที่แท้เจ้าก็มาอยู่ตรงนี้” วันนี้เขาสวมชุดแพรสีขาวสะอาดตา ภายใต้แสงตะวันสีทองอ่อนมีเพียงสิ่งเดียวที่เรืองรองนิดๆ ก็คือหยกขาวฝังเส้นใยเงินเป็นลายสัตว์ที่กลัดตรงชายแขนเสื้อเหนือข้อมืออันทรงพลัง
เฉิงเซ่าซางพลันไม่อยากเสแสร้งอีกต่อไป ตอนนี้นางไม่มีทางจะอยู่ร่วมกับฮั่วปู้อี๋แบบสหายเก่าได้เลย ไม่ติดต่อกันจนวันตายคงจะเหมาะสมที่สุดแล้ว ดังนั้นพอคารวะอย่างกระชับเรียบง่ายเสร็จนางก็สะบัดหน้าออกเดินในทันที หวังว่าคนผู้นี้จะรู้กาลเทศะสักหน่อย
ฮั่วปู้อี๋กดมือบนราวกั้นสีชาดเพียงเบาๆ ก็เหินร่างข้ามทางระเบียงลงไปราวเกาทัณฑ์ที่ผละจากสาย ไล่ทันหญิงสาวในสองสามก้าว ยึดกุมข้อมือเล็กไว้แล้วฉวยจังหวะพลิกหงาย พร้อมกันนั้นมืออีกข้างของเขาก็เลิกแขนเสื้อนางขึ้นไปจนถึงต้นแขน บนนั้นเป็นเช่นที่ลั่วจี้ทงว่าไว้ มีรอยฟันวงหนึ่งซึ่งจางมากๆ แผลนั้นใกล้จะหายสนิทแล้ว…สีหน้าของเขาขรึมลงทันตา
เฉิงเซ่าซางตระหนกจนตัวโยน ทางหนึ่งเพียรแกะฝ่ามือใหญ่ออก อีกทางหนึ่งพยายามรับมืออย่างสุขุมจริงจัง “ท่านคิดจะทำอันใด!”