เฉิงเซ่าซางกล่าวต่อ “ต่อมาเหตุการณ์เป็นดังที่ฮั่วปู้อี๋คาดคะเน จางเย่าบุกอยู่นานไม่สำเร็จ ซ้ำกำลังพลที่นำไปก็เจ็บตายสาหัส ส่วนฮั่วปู้อี๋หลังจากใช้ยุทธวิธีแยกสลายกองกำลังของพวกโจรไปรอบหนึ่งก็ยึดค่ายได้อย่างง่ายดาย…หึๆ ในจำนวนศีรษะของหัวหน้าโจรหลายคน ล้วนถูกคนกันเองตัดเพื่อทำคุณไถ่โทษ”
หยวนเซิ่นขมวดคิ้ว “นี่เป็นความบังเอิญแท้ๆ หากจางเย่าไม่ใช่คนใจแคบ หากกำลังพลสองสายไม่ได้สลับเมืองกัน ก็ยังไม่รู้ว่าบทสรุปจะออกมาเป็นเช่นไร”
“ไม่ต้องใจร้อน แค่สองปีให้หลังสิ่งที่ท่านคาดหวังก็เกิดขึ้นแล้ว” เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างโมโห “ตอนนั้นฝ่าบาทเพิ่งยึดเมืองหล่งซีได้ พระองค์หมายจะไล่ล่าข้าศึกที่แตกทัพไปหลายสาย ไม่รู้เพราะมีคนเห็นฮั่วปู้อี๋ขัดตาใช่หรือไม่ ถึงกับให้เขาไปไล่ล่าสายที่นำโดยน้องชายแท้ๆ ของจอมทัพข้าศึก น่าสะท้อนใจนัก ตอนนั้นฮั่วปู้อี๋เพิ่งผ่านศึกใหญ่ดุเดือดมาหนึ่งสมรภูมิ ในสังกัดของเขาคนล้าม้าเปลี้ย เจ็บตายไปมิใช่เบา ต่างจากกำลังพลของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหากมิใช่นักรบเดนตายที่ชุบเลี้ยงมาหลายปีก็คือทหารที่เป็นเครือญาติร่วมบรรพชนเดียวกัน”
หยวนเซิ่นนึกขึ้นได้แล้ว สีหน้าของเขาไม่เผยความรู้สึก “เรื่องนี้ข้ารู้ พอฮั่วปู้อี๋ไล่ทันข้าศึกที่แตกทัพก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รบแลกชีวิตจนถึงที่สุด สุดท้ายเขาหิ้วศีรษะผู้เป็นหัวหน้ากลับค่ายไปรายงานภารกิจจนได้ แต่ก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บในบ้านชุยโหวเกือบครึ่งปีจึงจะหายดี”
ตอนนั้นฮ่องเต้ปวดใจแทบแย่ ยามประเมินผลงาน เหตุที่พระองค์จงใจลดบำเหน็จรางวัลของบางคนลง น่าจะเพื่อระบายโทสะให้บุตรบุญธรรมนั่นเอง แต่ก็เพราะศึกแลกชีวิตแบบแข็งปะทะแข็งสมรภูมินี้ เหล่าขุนนางราชสำนักจึงได้มองฮั่วปู้อี๋ซึ่งขณะนั้นยังไม่ถึงวัยครอบเกี้ยวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ต่างพากันพูดว่า ‘แม่ทัพฮั่วชงมีผู้สืบทอดแล้ว’ เอ่ยข้ามหลิงอี้ไปโดยสิ้นเชิง
เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ “ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วสินะ ที่จู่ๆ เขากล้าตัดสัมพันธ์กับสกุลลั่ว หากมิใช่มีแผนการรองรับอยู่แล้ว ทำให้สกุลลั่วไม่กล้าแตกหักกับเขา ก็คือเขาคิดจะทุ่มสุดตัวแบบไม่คำนึงถึงสิ่งใดและไม่หวั่นเกรงที่จะผูกแค้นกับสกุลลั่วด้วย”
“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่” หยวนเซิ่นกังขา
เฉิงเซ่าซางตอบ “ด้วยเหตุผลเดียวกัน ที่จู่ๆ เขากล้าบอกให้ข้าถอนหมั้นกับท่าน หากมิใช่คิดกระบวนท่าถัดไปไว้ดิบดีแล้ว ก็คือเขาคิดจะทุ่มสุดตัว คุณชายใหญ่หยวน ท่านคิดจะรับมืออย่างไรเล่า”
หยวนเซิ่นโกรธกรุ่น “หรือว่าข้ายังจะกลัวเขา!”
“หากเป็นแบบแรกยังพอทำเนา พวกท่านสกุลหยวนก็ไม่ใช่พวกกินผักหญ้า อีกอย่างเหลี่ยมเล่ห์ของท่านก็ใช่ว่าน้อยกว่าฮั่วปู้อี๋ กลัวแต่ว่าจะเป็นแบบหลังน่ะสิ หน้าตาเขาล้วนไม่ต้องการแล้ว ถึงตอนนั้นบานปลายจนเหมือนมรสุมกระหน่ำเมือง ผู้คนพากันซุบซิบนินทาท่าน ท่านจะทำเยี่ยงไร” เกรงว่าคงไม่มีบุรุษที่ยินดีจะเป็นตัวเอกของข่าวชู้สาว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพระรองที่ต้องสงสัยว่าถูกเมฆเขียว* ปกคลุมศีรษะ
ไม่ผิดจากที่คาด หยวนเซิ่นตาค้างไปเสียแล้ว
ครั้นมาถึงประตูวัง เฉิงเซ่าซางก็ตบไหล่หยวนเซิ่น “ท่านตรองให้ดีๆ เถิด ฮั่วปู้อี๋คลุ้มคลั่งขึ้นมายังจะกัดคนด้วย ท่านคงกัดกลับไปไม่ได้กระมัง ไม่ต้องกังวลแทนข้านะ แม้ข้าเคยเพลี่ยงพล้ำในกำมือเขาไม่ใช่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ลงเอยไปดีกว่ากัน”
หยวนเซิ่นนึกว่า ‘กัดคน’ ที่เฉิงเซ่าซางเอ่ยนั้นกำลังพูดเปรียบเปรย แท้จริงที่นางพูดมาเป็นวาจาจริงทั้งนั้น
สองคนแยกกันที่หน้าประตูวัง หยวนเซิ่นมีเรื่องยุ่งเหยิงเต็มสมอง กระทั่งทางไปสำนักราชเลขาธิการยังเกือบจะเดินผิด
เซวียนไทเฮายังคงนอนป่วยไม่อาจลุกจากเตียง ตัวคนสะลึมสะลือ ถึงขั้นเฉิงเซ่าซางกลับมาตำหนักหย่งอันแล้วก็ยังไม่รู้เลย ในใจหญิงสาวให้หมองเศร้านัก รอจนป้อนยาเสร็จ เซวียนไทเฮาที่ได้สติรางๆ ก็ถามถึงการสู้คดีของฮั่วปู้อี๋ เฉิงเซ่าซางจึงระดม ‘ยิง’ ฮั่วปู้อี๋ไปหนึ่งยกอย่างไม่หายแค้น เย้าให้เซวียนไทเฮาหัวเราะเบาๆ ไม่หยุด
ผ่านไปอีกหลายวัน นามบุตรีคนเล็กของเฉิงสื่อก็เป็นที่โจษขานของผู้ใหญ่ผู้น้อยทั่วเมืองหลวงอีกครา