บทนำ
รัชศกเหยียนซีปีที่หนึ่ง วันที่สิบห้าเดือนแปด ยามไฮ่หนึ่งเค่อ
แมลงในฤดูใบไม้ร่วงส่งเสียงหรีดระงม ก้อนเมฆดำบดบังดวงจันทร์
โอรสสายตรงประสูติ เดิมเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มยินดี ทว่าทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ในตำหนักคุนหนิงกลับไม่มีสีหน้าปลาบปลื้มยินดีแม้แต่น้อย
ประตูตำหนักปิดแน่น ขันทีนางกำนัลต่างเงียบปานจักจั่นในวันหนาว รอบด้านเงียบสงัดประหนึ่งช่วงเวลาก่อนลมพายุจะมา
ฉางหลิงฝู่ หัวหน้าสำนักหมอหลวงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง นิ้วมือสั่นน้อยๆ เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาจากขมับ
ความหวาดหวั่นกระวนกระวายในห้องนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะสตรีที่อยู่บนเตียงผู้นั้น…ซูหลิง ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ต้าโจว
เสียงสั่นเครือของฉางหลิงฝู่ดังขึ้นผ่านผ้าโปร่งบางที่กั้นอยู่เป็นชั้นๆ “เอายาน้ำมาอีกชามหนึ่ง”
นางกำนัลรีบบอก “เจ้าค่ะ”
ยาน้ำผ่านลำคอ ลมหายใจของซูหลิงกลับยิ่งอ่อนลง นัยน์ตาของนางค่อยๆ พร่าเลือน พึมพำออกมาด้วยจิตใต้สำนึก
“ท่านพ่อ พี่ชาย”
เพิ่งจะสิ้นเสียง สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปทันที
ทุกคนต่างรู้ว่าซูฮองเฮาถือกำเนิดในวงศ์ตระกูลสูงส่ง บิดาคือเจิ้นกั๋วกงซูจิ่งเป่ย พี่ชายคือซูไหวอัน รองตุลาการศาลยุติธรรม อยู่ในตำหนักในแห่งนี้ศักดิ์ฐานะไม่มีใครสามารถเทียมได้
เพียงแต่มาบัดนี้ผู้หนุนหลังทั้งสองของซูฮองเฮาได้กลายเป็นคนสองคนที่ไม่อาจเอ่ยถึงมากที่สุดของราชสำนักต้าโจว
เรื่องมากมายต้องเริ่มเล่าตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน…
ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ยังไม่ถึงสามเดือน ชายแดนเมืองซื่อโจวก็มีทัพฉีมารุกราน ความยิ่งใหญ่ของกองกำลังทหารที่ยกมาถึงขั้นกล่าวได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน ซูจิ่งเป่ยผู้รับหน้าที่แม่ทัพใหญ่นำทัพออกทำศึก พาทหารฝีมือดีหกหมื่นนายเร่งรุดเดินทางไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ข้าหลวงใหญ่เมืองหลางโจวได้ส่งม้าเร็วมารายงาน บอกว่ากองกำลังทหารหกหมื่นนายถูกปิดล้อมอยู่ที่แม่น้ำมี่เหอ ขณะถูกข้าศึกขนาบโจมตีทั้งหน้าหลังอยู่นั้น ซูจิ่งเป่ยกลับเข้าไปในค่ายทหารของข้าศึก หลังจากนั้นก็ไม่มีร่องรอยใดๆ อีก
สกุลซูมีคุณูปการในการสู้รบที่โดดเด่น ทั้งมีความดีความชอบในการช่วยฮ่องเต้ก่อร่างสร้างเมือง ไม่มีหลักฐานแน่นหนา ใครก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร
แต่ถัดจากนั้นก็มีคนหาหลักฐานความผิดที่บ้านสกุลซูสมคบกับข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง…ในจวนเจิ้นกั๋วกงถึงกับซ่อนทางลับที่สร้างมานานนับสิบปีแล้ว
ตามเบาะแส กรมอาญาและองครักษ์เสื้อแพร ได้เข้าตรวจสอบและปิดหอคณิกา หอสุรา โรงน้ำชาหลายแห่งในเมืองหลวงคืนนั้นเลย จับกุมผู้สอดแนมได้ร้อยกว่าคน เมื่อไต่สวนอย่างละเอียดก็พบว่าร้านรวงหลายแห่งในจำนวนนี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับสกุลซู
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็คือหลักฐานที่มัดตัวแน่นหนา
แม่ทัพใหญ่เจิ้นกั๋วสมคบกับข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง ทั้งราชสำนักต่างฮือฮา แม่เฒ่าวัยแปดสิบเก้าสิบในท้องตลาดพอรู้ว่าบุตรหลานของตนตายในสนามรบ ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ก็เอาศีรษะพุ่งชนหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงตายอยู่ที่นั่น
ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงด่าว่าด้วยความคับแค้นใจ
เพื่อปลอบประโลมจิตใจของอาณาประชาราษฎร์ ฮ่องเต้องค์ใหม่ได้เสด็จนำทัพออกรบด้วยองค์เอง
รากฐานหนึ่งร้อยปีของราชวงศ์ต้าโจวจะดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไม่ เวลานี้ยังไม่อาจทราบได้…
กรอกยาเข้าไปเท่าไร ซูหลิงก็อาเจียนออกมาเท่านั้น เหงื่อที่หน้าผากฉางหลิงฝู่ยิ่งหยดติ๋งๆ ลงมาปานกาน้ำหยด เขาหมุนตัวมาช้าๆ หลังจากไตร่ตรองแล้วไตร่ตรองอีกจึงบอก
“ทูลไทเฮา ระยะนี้ฮองเฮาทรงใช้ความคิดมาก พระวรกายอ่อนล้าโรยแรงเกินไป ส่งผลให้มีพระประสูติกาลก่อนกำหนด ทรงทรมานติดต่อกันมาสองวันแล้ว บัดนี้…บัดนี้อาจจะทรงประคององค์ต่อไปไม่ไหวแล้ว…”
ได้ยินคำพูดนี้ทุกคนต่างสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
ขณะนิ่งเงียบ ฝูอิงนางกำนัลใหญ่ของตำหนักคุนหนิงเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน กล่าวกับไทเฮา
“หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลไทเฮาเพคะ”
ไทเฮาประทับบนเก้าอี้มีพนักเท้าแขนทำจากไม้จงจู๋ฝังหยก มือที่นับลูกประคำอยู่ชะงักไปชั่วขณะแล้วกล่าวเสียงราบเรียบ
“เจ้าว่ามา”
ฝูอิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองไปที่นางข้าหลวงที่รู้จักกันในนามหัวหน้ากองงานพิธีการสวีแวบหนึ่งพลางบอก
“เมื่อครู่หม่อมฉันเห็นในแขนเสื้อของหัวหน้ากองงานพิธีการสวีซุกซ่อนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนโลหิตอยู่ผืนหนึ่ง ท่าทางลับๆ ล่อๆ น่าสงสัยเพคะ”
หัวหน้ากองงานพิธีการสวีที่ถูกชี้ตัวพูดด้วยความโกรธ “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ใครบงการให้เจ้าใส่ร้ายป้ายสีข้า!”
ไทเฮาจับตัวเสื้อด้านหน้าของตนเองเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าจะบอกว่าผ้าเช็ดหน้าในมือหัวหน้ากองงานพิธีการสวีมีปัญหา?”
“หม่อมฉันเพียงแต่คาดเดา ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนโลหิตในมือหัวหน้ากองงานพิธีการสวีไม่ใช่ของตำหนักคุนหนิงเพคะ” ฝูอิงหน้าผากแตะพื้น พูดด้วยเสียงอันดัง “หม่อมฉันขอให้ไทเฮาทรงตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยเพคะ! ขอทรงช่วยจัดการด้วยเพคะ”
ซูหลิงไม่มีเรี่ยวแรงจะเปิดปากอีกแล้ว นางเหลือบตามองฝูอิงแวบหนึ่ง
เด็กโง่
เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา มีอันใดแตกต่างจากการเอาชีวิตมาทิ้งเปล่าๆ
มีคนมากมายในโลกนี้ที่ต้องการชีวิตของนาง ไม่มีใครช่วยจัดการให้นางได้
อย่างไรเสีย สมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมืองเป็นความผิด มีศักดิ์ฐานะสูงเป็นความผิด ให้กำเนิดโอรสยิ่งเป็นความผิด
หัวหน้ากองงานพิธีการสวีคุกเข่า ‘พึ่บ’ ลงไป พูดเสียงดัง “ไทเฮาทรงตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ซุกซ่อนผ้าเช็ดหน้าเปื้อนโลหิตอะไรเด็ดขาด”
“ใครอยู่ข้างนอก เข้ามา” ไทเฮามองหัวหน้ากองงานพิธีการสวี “เอาตัวไปโบยตีสอบปากคำ ถ้ามีอะไรน่าสงสัยก็ส่งไปที่สำนักกิจการฝ่ายใน โดยตรง”
“หม่อมฉันถูกใส่ความเพคะ!”
ขันทีสองคนตรงเข้ามาลากตัวหัวหน้ากองงานพิธีการสวีออกไป