เสียงฟ้าร้องหนักทึบกรีดผ่านท้องฟ้า เสียงลมพัดกระโชก โคมไฟใต้ชายคาแกว่งไปมาท่ามกลางลมและฝนที่เศร้าวังเวง สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด ในวังมีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นมาเป็นห้วงๆ
ซูหลิงหลับตาลงช้าๆ ความทรงจำค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย…
รัชศกหย่งชางปีที่สามสิบหก ฤดูใบไม้ผลิ
ปีนั้นนางอายุสิบเจ็ด ยังอยู่ที่บ้านรอออกเรือน
เดิมเข้าใจว่าจะได้แต่งกับบุรุษที่วงศ์ตระกูลฐานะทัดเทียมกัน รักนางทะนุถนอมนาง กลับคิดไม่ถึงว่าราชโองการฉบับเดียวจะทำให้นางกลายเป็นชายาเอกของจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องเซียวอวี้ไม่เป็นที่ต้องพระทัยของฮ่องเต้ มารดาผู้ให้กำเนิดก็เสียชีวิตไปก่อนแล้ว ทั้งไม่ใช่โอรสที่เกิดจากฮองเฮาและไม่ใช่โอรสองค์แรก แม้จะเติบโตข้างพระวรกายฮองเฮา แต่การช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทยังคงมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ชัยชนะ
ราชโองการฉบับนี้เห็นชัดว่าเป็นการลากจวนเจิ้นกั๋วกงเข้าไปในกองไฟ
นางในตอนนั้นรู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่มลงมาแล้ว
บุตรสาววงศ์ตระกูลทหาร ทั้งยังอยู่ในช่วงเยาว์วัย ย่อมมีความกล้าหาญมากมายที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
หลังจากสืบรู้ความเคลื่อนไหวของเซียวอวี้ นางก็แต่งตัวเป็นคุณชายลูกหลานผู้สูงศักดิ์ สวมเสื้อคลุมยาวสีขาว โบกพัดเดินเข้าไปในหอชิ่งเฟิง สถานที่อันปะปนไปด้วยปลาและมังกรซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง
นางพลิกแขนเสื้อ ยื่นเงินก้อนโตให้หลงจู๊อวี๋
หลงจู๊อวี๋ใบหน้าเจือรอยยิ้มพานางขึ้นไปบนชั้นสองแล้วเลี้ยวซ้าย นางนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวทางฝั่งตะวันตก หอชิ่งเฟิงเป็นสถานที่ชมงิ้วฟังการขับร้อง บอกว่าเป็นห้องส่วนตัว แต่ความจริงก็เพียงเอาฉากบังลมมาวางกั้นหน้าหลังไว้เท่านั้น
นางเอนหลังพิงฉากบังลม กลั้นหายใจ เริ่มแอบฟังเสียงที่ดังมาจากด้านข้าง
พระวรกายฝ่าบาทไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน การต่อสู้ช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทใกล้เข้ามาทุกที หลายท่านที่กำลังคุยโวกันอยู่ในตอนนี้ ซูหลิงเดาว่าน่าจะเป็นที่ปรึกษาของจวนจิ้นอ๋อง
ไม่ผิดจากที่คิด นางได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงตัวเองแล้ว
‘บุตรสาวสกุลซู’
เสียงเครื่องสายเครื่องเป่าที่ชั้นล่างค่อยๆ เบาลง มีคนรินสุราให้เซียวอวี้จอกหนึ่ง
‘ครั้งนี้ท่านอ๋องผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับจวนเจิ้นกั๋วกง น่ากลัวว่าเฉิงอ๋องกับเยียนอ๋องคงจะร้อนใจแล้ว’
อีกคนหนึ่งทอดถอนใจบอก ‘ผูกสัมพันธ์กับเจิ้นกั๋วกงได้เป็นเรื่องดี ทว่าบุตรสาวสกุลซูชื่อเสียงไม่ดีงาม มีความพัวพันที่ไม่ชัดเจนกับเหอจื่อเฉิน นี่ก็เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่ง’
เวลานี้ครอบครัวตระกูลขุนนางสี่ตระกูลที่รุ่งเรืองและได้รับความยอมรับนับถือในเมืองหลวงได้แก่สกุลเซวีย เหอ ฉู่ และมู่ ทุกคนต่างรู้ว่าเหอจื่อเฉินบุตรชายสายตรงของสกุลเหอชอบพอบุตรสาวสกุลซูมานาน วันทั้งวันเอาแต่วนเวียนไปมาอยู่รอบจวนเจิ้นกั๋วกง
ทว่าเรื่องยุ่งยากที่ออกจากปากขุนนางผู้มีอำนาจราชศักดิ์ย่อมมิใช่เรื่องรักใคร่ส่วนตัวระหว่างชายหญิงเรียบง่ายเช่นนั้น
แต่เป็นเพราะสกุลเหอคือขุนนางฝ่ายเยียนอ๋องที่แน่วแน่มั่นคง
ซูหลิงกดข่มเสียงหัวใจที่เต้นตึกตัก หมุนตัวช้าๆ มองผ่านฉากบังลมไป…
ท่ามกลางแสงโคมแดงสุราเขียวของหอชิ่งเฟิง หลังฉากบังลมแสงสลัวรุบรู่ นางมองเพียงปราดเดียวก็เห็นเซียวอวี้แล้ว
คนผู้นั้นเค้าโครงใบหน้าเฉียบคม เขาหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง หมุนจอกเล็กๆ ในมือเล่นไปมา ครู่หนึ่งก็หัวเราะเสียงเย็น
‘ยุ่งยากแล้วอย่างไร ซูจิ่งเป่ยไม่มีบุตรสาวคนอื่นแล้ว’
เสียงของเขาหนักแน่นยิ่ง ทุกถ้อยทุกคำกังวานชัดเจนดุจเสียงลูกประคำกระทบจานหยก กระแทกลงไปที่หัวใจของนาง
หัวใจของซูหลิงจมดิ่งลงไปราวกรอกด้วยตะกั่ว
เด็กสาวอายุสิบเจ็ดมองพัดพับในมือ นิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน
บุตรสาวของวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์แล้วอย่างไร ไยมิใช่กลายเป็นลูกธนูแหลมคมดอกหนึ่งที่ผู้อื่นใช้ช่วงชิงอำนาจ
เขาไม่ชอบนาง นางเองก็ไม่อยากที่จะแต่งงานกับเขาแม้แต่น้อย
ทว่าราชโองการไม่อาจฝ่าฝืน ต่อให้นางไม่ยินยอมเพียงใด ก็ได้แต่ต้องสวมชุดเจ้าสาวแต่งงานกับเซียวอวี้ผู้ที่บิดาบอกว่าถึงพร้อมทั้งบู๊บุ๋น องอาจห้าวหาญและชำนาญการรบผู้นั้น
วันแต่งงาน นางร้องไห้จนหน้าตาเปรอะเปื้อนไปหมดตั้งแต่เช้า
นางร้องไห้ไป ซูไหวอันก็เช็ดให้นางไป น้ำตาปะปนกับน้ำมูก เช็ดจนเลอะเต็มมือรองตุลาการซูไปหมด
ในฐานะพี่ชายคนโต ซูไหวอันจะต้องแบกนางออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง เขาหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจอีกทีหนึ่ง
‘อาหลิง อย่าร้องไห้อีกเลย ได้หรือไม่’
ก่อนขึ้นเกี้ยวนางอดใจไม่อยู่หันหน้ากลับไป
นางยังจำได้ ชายหนุ่มรูปงามดุจหยกผู้นั้นมองมาที่ตนเอง ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น ขอบตาเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อขึ้นทันที
เขาพูดขึ้นเบาๆ ‘อาหลิง จวนเจิ้นกั๋วกงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป’
ยามนั้นนางเข้าใจว่าตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด
แท้จริงแล้วหลังจากแต่งงานกับเซียวอวี้ หากโยนเรื่องการเผชิญหน้ากันตาต่อตาฟันต่อฟันในช่วงแรกทิ้งไป วันเวลาก็ไม่ได้เลวร้ายเช่นที่นางคิด
แม้นางจะเตือนตัวเองอยู่เสมอ เบื้องหลังคำว่า ‘องอาจห้าวหาญชำนาญการรบ’ ไม่ใช่ความรักระหว่างชายหญิงที่งดงาม หากแต่เป็นกองกระดูกขาวโพลน
แต่จะว่าอย่างไรดีเล่า อยู่ด้วยกันวันแล้ววันเล่า สนิทสนมใกล้ชิดกันคืนแล้วคืนเล่า ในที่สุดยังคงทำให้นางปล่อยวางจิตใจที่ระแวดระวังป้องกันลง
ในค่ำคืนวันนั้นแสงเทียนสั่นไหว ดวงตาของเขาลึกล้ำและใสกระจ่างดุจธารน้ำพุบนภูเขา สะท้อนร่างที่แดงซ่านของนางอย่างชัดเจน