เขาโน้มตัวลงพูดที่ข้างหูนาง ‘อาหลิง ข้ารู้ว่าเจ้าแค้นอะไรข้า เจ้าแค้นข้าเพราะตอนแต่งเจ้าเป็นการคิดการวางแผนทั้งหมด แค้นข้าที่ทำลายบุพเพของเจ้า ข้าจะชดใช้ให้เจ้า เช่นนี้เป็นอย่างไร’
ตอนนั้นอายุยังน้อย เป็นเด็กสาวแรกรุ่นเพิ่งมีความรัก ประกายไฟเพียงนิดเดียวก็ไหม้เป็นไฟลามทุ่ง พอแตะก็ลุกไหม้
นางหวั่นไหวและเห็นเป็นเรื่องจริงจัง
เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กระทั่งในเวลานี้นางยังคงยอมรับ เซียวอวี้ในปีนั้นทำให้นางลุ่มหลงยิ่ง
เขาสอนนางยิงธนูขี่ม้า สอนนางปล่อยใจมีความสุขไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด และสอนนางว่าต้องเป็นภรรยาของเขาอย่างไร
นางรักรูปร่างท่าทางองอาจสง่างามของเขายามเหยียดแขนน้าวคันธนู รักเขาที่คำรามเรียกชื่อนางเสียงต่ำในยามแนบชิดคลอเคลีย และรักเขาที่เอ่ยคำพูดประโยคนั้นตอนรับราชโองการให้ออกจากเมืองหลวงไปสอบสวนคดี
‘อาหลิง ไปกับข้าเถิด’
หัวคิ้วนัยน์ตาของเขาไม่ค่อยเจือรอยยิ้ม แต่เมื่อยิ้มขึ้นมาก็หล่อเหลาสดใสมีชีวิตชีวายิ่ง
นางเคยคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับเขาเช่นนี้ตลอดไป
กระทั่งวันที่สามเดือนสิบ รัชศกหย่งชางปีที่สามสิบแปด ฮ่องเต้จยาเซวียนสวรรคตกะทันหัน เซียวอวี้ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรตัวนั้น
ช่วงสับเปลี่ยนแผ่นดิน ในเมืองหลวงสับสนวุ่นวายไปหมด
พูดถึงการปกครองบ้านเมือง อดีตฮ่องเต้ครองบัลลังก์มาสามสิบแปดปี บอกว่าโง่เขลาเลอะเลือน โหดร้ายไร้ศีลธรรมก็ไม่เกินไป ราชสำนักต้องยกทัพต่อสู้ทำศึกติดต่อกันมาหลายปี เขากลับยุ่งอยู่กับการสร้างที่ประทับ โปรดปรานขุนนางขันที มอบอำนาจให้พระประยูรญาติของฝ่ายในเข้ามาก้าวก่ายการเมือง ภาษีที่นาและภาษีต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ทรัพย์สินในถุงใส่เงินของวงศ์ตระกูลขุนนางอวบอ้วนจนมันเยิ้ม แต่รายได้รวมของราชสำนักปีหนึ่งกลับไม่ถึงห้าพันหมื่นตำลึง
แม้แต่เงินบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยแล้งรุนแรงในเหอหนานก็ได้มาจากการรวบรวมจากทางโน้นทางนี้
แผ่นดินของราชวงศ์ต้าโจวแห่งนี้เต็มไปด้วยบาดแผลและรูพรุนนานแล้ว สะสมมานานยากแก่การกอบกู้กลับคืนมา
เซียวอวี้ยุ่งอยู่กับราชกิจทั้งวันทั้งคืน นางมักไม่ค่อยได้พบหน้าพบตาเขา
ไม่นานนางก็ตรวจพบว่าตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ขุนนางในราชสำนักปากก็แสดงความยินดี แต่กลับกุลีกุจอเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้องค์ใหม่รับสนมชายาฝ่ายในเพิ่ม เพื่อแผ่กิ่งก้านและใบให้มากขึ้น
ดังนั้นหลี่ย่วนองค์หญิงสกุลหลี่แห่งเกาลี่ เซวียหลันอี๋น้องสาวของเซวียเซียงหยางเสนาบดีกรมอาญา หลิ่วกูหยางบุตรสาวของหลิ่วเหวินซื่อราชเลขาธิการสภาขุนนางจึงทยอยเข้าวังมาทีละคน
ความจริงในใจนางรู้ดี ขอเพียงเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ย่อมต้องมีวันนี้
เวลาผ่านไป ความคิดย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนจวนเจิ้นกั๋วกงเกิดเรื่องขึ้น
สกุลซูสมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมืองมีหลักฐานยืนยัน นางไม่มีคำพูดจะโต้แย้ง แต่ต่อให้เอามีดพาดคอนาง นางก็ไม่เชื่อว่าซูไหวอันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
หาไม่ทางลับก็อยู่ที่นั่น เพราะเหตุใดซูไหวอันยังจะรั้งอยู่ในเมืองหลวง
นางคุกเข่าอยู่นอกตำหนักหยั่งซินรอเขา รอจนสุดท้ายยังคงเป็นเซิ่งกงกงประคองนางขึ้นมา
‘ฮองเฮาทรงครรภ์มังกรอยู่ จะทรงทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ’ เซิ่งกงกงทอดถอนใจบอก ‘ปกติทรงปฏิบัติต่อกระหม่อมเช่นไร กระหม่อมล้วนจดจำไว้ในใจ วันนี้ขอบังอาจเตือนสักคำ ฮองเฮาเป็นมเหสีที่ผูกเงื่อนผมกับฝ่าบาท ย่อมมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง แต่ต่อให้ลึกซึ้งเพียงใดก็ทนต่อการทรมานไม่ไหว หากฮองเฮามาด้วยเรื่องสกุลซู เช่นนั้นไม่ทรงลองคิดดู ความผิดที่ทรยศต่อบ้านเมือง ที่แท้แล้วที่ทรยศคือบ้านเมืองของผู้ใด ความเมตตานี้ขอได้จริงหรือ ฮองเฮาไม่ทรงนึกถึงตนเอง หรือว่าแม้แต่บุตรในครรภ์ก็ไม่ทรงนึกถึงด้วย?’
ลูกของนาง
เซียวอวิ้น…โอรสสายตรงแห่งราชวงศ์ต้าโจว คำว่าอวิ้นมาจากคำว่า ‘หินแฝงไว้ด้วยหยกภูเขาจึงส่องแสงพร่างพราว’ สืบสานโองการสวรรค์ จิตใจกว้างขวางดุจมหาสมุทร ฝากแฝงความหมายที่ยอดเยี่ยมดีงาม เป็นเซียวอวี้ที่เฟ้นหาคัดเลือกคำออกมา
ซูหลิงเอียงศีรษะ ยกมือขึ้นมาใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่ทั้งหมดกุมกำปั้นเล็กๆ ที่ผิวหนังยับย่นข้างกาย
ยังเล็กเพียงนี้
บางที…บางทีกระมัง
ชีวิตคนชาติหนึ่งไม่ยาวนาน ดุจต้นไม้ใบหญ้าที่มีชีวิตหนึ่งฤดูใบไม้ร่วง เดิมก็มีเรื่องมากมายให้เสียดาย…
ซูหลิงรู้สึกร่างกายค่อยๆ เบาขึ้น คล้ายกลายเป็นควันกลุ่มหนึ่ง ลอยสูงขึ้นทุกที ไม่รู้จะล่องลอยไปที่ใด
ในเวลานี้เองโอรสน้อยที่อยู่บนเตียงคล้ายรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง พลันส่งเสียงร้องไห้จ้าขึ้นมาทันที
เสียงทารกเบายิ่ง แต่กลับดังขึ้นทุกที เหมือนจะฉีกกระชากใจคนให้แหลกเป็นผุยผงได้
ดวงจันทร์คล้อยต่ำ ดวงดาวลับหาย เสียงระฆังดังขึ้น…
วันที่สิบห้าเดือนแปด รัชศกเหยียนซีปีที่หนึ่ง ฉุนอี้ฮองเฮาสิ้นพระชนม์