บทที่ 1 สกุลฉิน
“ฟื้นแล้ว! ในที่สุดคุณหนูก็ฟื้นแล้ว!”
เสียงที่ไม่คุ้นหูเสียงหนึ่งดังขึ้นมาที่ข้างหูซูหลิง
นางลืมตาขึ้นช้าๆ ฉับพลันนั้นก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนในส่วนลึกของลำคอปานจะฉีกขาด จึงพูดด้วยเสียงแหบแห้ง
“น้ำ”
“บ่าว…บ่าวจะไปรินน้ำมาให้คุณหนูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวกล่าว
ซูหลิงยันตัวขึ้นมารับถ้วยน้ำ จิบไปคำหนึ่ง น้ำใสเย็นไหลลงคอ ประหนึ่งพบแหล่งน้ำในทะเลทราย
โลกที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นตามไปด้วย
ซูหลิงเลิกเปลือกตาขึ้น เหลียวมองไปรอบด้าน
สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในม่านตาคือโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวขากลมทำจากไม้จันทน์แดงหุ้มมุมด้วยสำริดชุบทอง ด้านบนวางกระถางดอกไม้เคลือบลายต้นเขียวเหมันต์กับใบไผ่ ชุดน้ำชาชุดหนึ่ง ด้านซ้ายเป็นตู้ไม้จันทน์แดงใบใหญ่คู่หนึ่ง ด้านขวาเป็นฉากแขวนปักไหมหลากสีสันลายนกกระเรียนและกวางในฤดูใบไม้ผลิ
เรียบง่ายเพียงนี้
ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักคุนหนิง
ทว่าไม่รอให้ซูหลิงทันได้ไตร่ตรองว่าทั้งหมดนี้ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามาด้วยความเดือดดาล ด้านหลังยังมีสตรีออกเรือนแล้วอายุเกินสามสิบตามมาด้วยคนหนึ่ง
ซูหลิงไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่รู้จักชุดขุนนาง
คนผู้นี้สวมหมวกผ้าโปร่งสีดำ ร่างสวมชุดขุนนางสีแดงเข้มลายไก่ฟ้าหลังขาว เอวคาดสายรัดเอวติดลายดอกไม้ที่แกะจากเงิน…
อ้อ เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นห้าคนหนึ่ง
ขุนนางขั้นห้าผู้นั้นก้าวขึ้นมาสองก้าว ยกมือปัดกาน้ำชาตรงหน้าจนล้มคว่ำแล้วตวาดขึ้น
“หนึ่งร้องไห้ สองโวยวาย สามผูกคอตายยังไม่พอใช่หรือไม่! ยังเห็นว่าขายหน้าผู้อื่นไม่พอใช่หรือไม่! วันนี้แม้แต่สุราพิษก็กล้าดื่ม พรุ่งนี้เจ้ายังมีอะไรไม่กล้าทำอีก! ในสายตาของเจ้ายังมีข้าที่เป็นบิดาคนนี้อยู่หรือไม่!”
บิดาหรือ
เพิ่งสิ้นเสียง ร่างทั้งร่างของซูหลิงคล้ายถูกสายฟ้าฟาดใส่เช่นนั้น
แม้แต่คำว่า ‘บังอาจ’ สองคำก็พลอยชะงักติดอยู่ที่ริมฝีปาก
ขุนนางขั้นห้ายังกล่าวต่อ “ตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์มานี่เป็นครั้งแรกที่ทรงคัดเลือกหญิงงาม ทั้งราชสำนักไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่ต่างจับจ้องไปที่เรื่องนี้ ‘ฉินหลิง’ สองคำนี้ก็ถูกส่งไปที่กรมพิธีการเรียบร้อย อำนาจการตัดสินใจก็ไม่ได้อยู่ที่เจ้าอีกแล้ว! เจ้าเห็นราชวงศ์เป็นอะไร! ประตูใหญ่บ้านสกุลฉินที่นึกจะไปจะมาล้วนแล้วแต่เจ้าหรือ!”
พูดจบเขายังใช้ฝ่ามือตบโต๊ะแรงๆ สามที
ซูหลิงกลั้นหายใจจดจ่อ ตื่นตระหนกจนถ้วยในมือแทบจะถูกนางบีบแตก
ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครกล้าตบโต๊ะต่อหน้านาง แม้แต่ฝ่าบาทที่เขาพูดถึงก็ไม่เคย
“คนแซ่จูผู้นั้นก็แค่ลูกชายพ่อค้า ถึงกับคู่ควรให้เจ้าเหยียบย่ำตนเองเช่นนี้หรือ!”
ขุนนางขั้นห้าเห็นสีหน้าซูหลิงไม่มีแววเสียใจใดๆ มีเพียงความงงงวยกับความหยิ่งยโสที่บอกไม่ถูกขุมหนึ่ง เขาก็อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดไม่ได้
“ดี…ดี ดียิ่งนัก นับแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าอย่าได้คิดจะออกจากบ้านอีกแม้แต่ครึ่งก้าว ถ้าเจ้าไปแอบนัดพบกับเจ้าหนุ่มสกุลจูนั่นอีก ข้าจะตีเขาให้ขาหักต่อหน้าเจ้า! ตำแหน่งไท่สื่อลิ่งนี่ ข้าก็ไม่เป็นแล้ว!”
ในเวลานี้เองหญิงออกเรือนแล้วผู้นั้นรีบดึงแขนขุนนางขั้นห้าไว้ กล่าวเสียงนุ่มนวล “คุณหนูใหญ่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายยังอ่อนแออยู่ นายท่านอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ”
ขุนนางขั้นห้าสูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง เปิดประตูเดินออกไป เพียงทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง
“เจ้าก็เหมือนกับมารดาของเจ้า เพื่อตัวเองแล้ว ไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของผู้อื่นแม้แต่น้อย!”
จบคำของเขา หญิงออกเรือนแล้วผู้นั้นก็รีบตามออกไป
บิดา?
มารดา?
คัดเลือกหญิงงาม?
รนหาที่ตายเพราะบุรุษสกุลจูอะไรนั่น?
ซูหลิงนั่งอยู่บนเตียง ใคร่ครวญคำพูดเมื่อครู่ของขุนนางขั้นห้าไปมา
หรือว่าข้าไม่ได้ตาย
แต่ถ้าไม่ตาย แล้วฉินหลิงคือใคร
คิดมาถึงตรงนี้ซูหลิงก็ขยับตัวลงไปที่พื้น เดินเท้าเปล่าไปยังข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวขากลมหุ้มมุมด้วยสำริดชุบทอง เปิดหีบเครื่องประดับ หยิบคันฉ่องสำริดออกมาบานหนึ่ง…
พอมองไปนางก็ทรุดลงบนม้านั่งกลมทั้งตัว
หญิงสาวในคันฉ่องนอกจากมีไฝที่คางเพิ่มมาเม็ดหนึ่งแล้ว คิ้ว ดวงตา ปาก จมูกถึงกับเหมือนนางตอนอายุสิบหก…เป็นพิมพ์เดียวกัน
ดูไปดูมาก็พลันรู้สึกปวดหนึบที่จุดไท่หยางขึ้นมา นางหมดสติไปอีกครา