ตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงกลางคืนของวันถัดมาแล้ว
ความทรงจำถาโถมเข้ามาที่นางเป็นห้วงๆ บางครั้งก็เห็นคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บางครั้งก็ได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้จะไม่เชื่อมโยงติดต่อกันมากพอ แต่ก็เพียงพอให้นางแยกแยะสภาวการณ์ในเวลานี้ได้
วันนี้คือวันที่สิบหกเดือนแปด รัชศกเหยียนซีปีที่สี่
นางไม่ได้ตาย แต่นางก็ไม่ใช่นาง
เจ้าของร่างนี้คือบุตรสาวคนโตสายตรงของสกุลฉิน นามว่าฉินหลิง
ขุนนางขั้นห้าที่เมื่อวานแสดงความกำเริบเสิบสานไร้มารยาทต่อนางชื่อฉินวั่ง เป็นประมุขสกุลฉิน บิดาผู้ให้กำเนิดของฉินหลิง
ส่วนสาเหตุที่นางกลายเป็นฉินหลิง ยังต้องเล่าตั้งแต่เริ่มต้น…
ฉินวั่งถือกำเนิดในครอบครัวที่ยากจน ในวัยหนุ่มเป็นเพียงปัญญาชนยากจนคนหนึ่งของอำเภอเชียนอัน มารดาป่วยหนัก บิดาเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่มาก สภาพของสกุลฉินในเวลานั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกราบอาจารย์เรียนหนังสือ จะแต่งสะใภ้อย่างเป็นทางการสักคนก็เป็นเรื่องไม่ต่างจากความเพ้อฝันของคนโง่
บ้านสกุลฉินแม้จะยากจนและไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆ แต่มีข้อดีตรงที่ใบหน้าของฉินวั่งสะอาดหมดจดยิ่งกว่าถุงใส่เงิน ถึงจะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่รูปร่างลักษณะองอาจผึ่งผายเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง
ในงานเทศกาลโคมไฟครั้งหนึ่ง เวินซวงหวาบุตรสาวของเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งอำเภอเชียนอันตกหลุมรักฉินวั่งตั้งแต่แรกเห็น
เวินซวงหวาได้รับการเลี้ยงดูอย่างพะเน้าพะนอมาตั้งแต่เด็ก อยากได้ลมก็ได้ลม นางเข้าใจว่าขอเพียงนางอยากแต่ง ฉินวั่งก็ต้องกระโดดโลดเต้นรีบมาสู่ขอนางเป็นภรรยา
ทว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นไปดังใจปรารถนา ฉินวั่งในตอนนั้นถึงจะยากจนแต่ก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี อยู่ต่อหน้าภูเขาเงินภูเขาทองก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ตั้งใจแน่วแน่ที่จะแต่งสตรีที่ตนรักอย่างเจียงหมิงเยวี่ยเป็นภรรยา เสียดายเจียงหมิงเยวี่ยเป็นคนอาภัพ แต่งงานกับฉินวั่งได้เพียงครึ่งปีก็จากโลกนี้ไป
ฉินวั่งจิตใจแหลกสลายด้านชา จิตใจของเวินซวงหวากลับฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว
แม่สื่อมาเยือนถึงประตูบ้านอีกครั้ง สกุลฉินและสกุลเวินในที่สุดก็เกี่ยวดองกัน
เมื่อมีความช่วยเหลือจากสกุลเวิน ไม่ถึงสองปีฉินวั่งก็สอบจิ้นซื่อได้ อาการป่วยของมารดาก็ดีขึ้นตามไปด้วย ฉินวั่งได้เป็นขุนนาง เวินซวงหวาคลอดบุตรชายหนึ่งบุตรสาวหนึ่งให้กับเขา บุตรชายคนโตชื่อฉินสุยจือ บุตรสาวคนโตชื่อฉินหลิง
ชีวิตผ่านไปอย่างนับได้ว่าปรองดองและมีความสุข
กระทั่งวันหนึ่งเจียงหลันเยวี่ยน้องสาวแท้ๆ ของเจียงหมิงเยวี่ยเพราะอับจนไม่มีทางไปจึงมาหาถึงบ้าน
แล้วฝันร้ายของเวินซวงหวาก็เริ่มต้นขึ้น
อย่าเห็นว่าบ้านสกุลฉินเป็นครอบครัวเล็กไม่มีอำนาจ แต่ในบ้านหลังนี้เวลาขับร้องเล่นละครขึ้นมา กลับไม่ด้อยกว่าครอบครัวใหญ่ที่มีอำนาจ กระทั่งพูดได้ว่าเปรียบกับบทละครพื้นเมืองที่เมื่อก่อนนางเคยอ่านแล้วยังมีสีสันยิ่งกว่า
ฉินวั่งพาเจียงหลันเยวี่ยกลับมาบ้านสกุลฉิน ตอนแรกก็เพียงช่วยดูแลเอาใจใส่ แต่ไม่นานก็ดูแลขึ้นมาถึงบนเตียงแล้ว เวินซวงหวาไม่ใช่ไม่เคยเอะอะโวยวาย แต่โวยวายไปก็ไร้ประโยชน์ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อบุรุษเกิดความลุ่มหลงขาดสติ วัวสิบตัวก็ดึงไม่กลับ
สามีภรรยาเอาใจออกหาก เวินซวงหวาล้างหน้าด้วยน้ำตาทั้งวัน
ฉินวั่งขาดสติยามอยู่ต่อหน้ากามตัณหา ดีที่สกุลฉินยังมีนายหญิงผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่าฉินรู้ภาระหน้าที่อันพึงกระทำของตน นางไม่อาจเกลี้ยกล่อมบุตรชายได้ แต่ก็ระลึกถึงความดีของสกุลเวินมาโดยตลอด ก่อนตายนายหญิงผู้เฒ่าฉินพูดไว้เพียงประโยคเดียว
‘วั่งเกอเอ๋อร์ เราเป็นคนไม่อาจลืมกำพืดตัวเอง แม่อยากให้เจ้าสาบาน หญิงสกุลเจียงผู้นี้จะเป็นได้เพียงอนุตลอดไป’
นับแต่โบราณกาลคำว่ากตัญญูยิ่งใหญ่กว่าฟ้า ฉินวั่งได้แต่คุกเข่าสาบานต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าฉิน
เดิมเข้าใจว่าครานี้บ้านสกุลฉินจะสงบลงได้แล้ว แต่ใครเลยจะคาดคิด แม้คำสาบานนี้จะทำลายความทะเยอทะยานของเจียงหลันเยวี่ยที่สั่งสมรอเวลาโจมตีจนไม่เหลือชิ้นดี แต่กลับเป็นการฝังรากเหง้าของความหายนะในวันข้างหน้า
เล่ห์เหลี่ยมของเจียงหลันเยวี่ยยอดเยี่ยมยิ่ง ความรวดเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าเปรียบกับพลิกหน้าหนังสือยังเร็วยิ่งกว่า พริบตาก่อนร้องไห้อยู่กับฉินวั่ง พริบตาถัดมาก็แย้มยิ้มกับเวินซวงหวาได้แล้ว แม้จะเป็นหญิงม่าย กลับสามารถยั่วยวนจนฉินวั่งลืมหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
เวินซวงหวาอยู่ในเรือนด้านหลังแห่งนี้นับวันยิ่งคลุ้มคลั่ง นานวันเข้าในที่สุดก็ล้มป่วย
กระทั่งก่อนสิ้นใจนางก็อยู่ในสภาพกึ่งเสียสติ