ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา
ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทนำ-บทที่ 2
บทที่ 2 การสอบเซียงซื่อ
“เขาดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เพื่อจะได้อยู่กับเขา แม้แต่ข้า เจ้าก็ตัดใจทิ้งไปได้”
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของฉินสุยจือ จุดไท่หยางของซูหลิงก็เจ็บขึ้นมาอีก
ภาพที่ฉินหลิงจะเป็นจะตายเพราะบุรุษสกุลจูผู้นั้นทยอยผุดขึ้นมาในสมอง
นับแต่กรมพิธีการประกาศเรื่องฮ่องเต้องค์ใหม่จะคัดเลือกหญิงงามครั้งใหญ่ คุณหนูใหญ่สกุลฉินถ้าไม่ใช่นั่งน้ำตาไหลอยู่ที่หน้าต่างทั้งวันก็ทุบทำลายข้าวของ อดอาหาร ต่อมาก็เอาผ้าแพรขาวสามฉื่อแขวนบนคานห้องเสียเลย
น้ำเสียงที่โศกเศร้าปานใจจะขาดดังก้องอยู่ข้างหูนาง…
‘คุณชายจูบอกข้าว่าถ้าข้าเข้าวัง ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่แต่งงาน
พี่ชาย ลือสามคนกลายเป็นมีเสือจริงปากคนจำนวนมากละลายทองได้เหตุผลนี้ท่านเข้าใจดีกว่าข้า คำพูดที่ข้างนอกส่วนใหญ่ไม่ใช่ความจริง จูเจ๋อไม่ได้เป็นเช่นที่ท่านคิดแน่นอน
ชาตินี้อาหลิงถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องผิดต่อบิดามารดาและพี่ชาย’
หนึ่งร้องไห้ สองโวยวาย สามผูกคอตายที่ฉินวั่งพูดเมื่อวาน ไม่ได้ใส่ความฉินหลิงแม้แต่น้อยนิด
พูดด้วยใจที่เป็นธรรม ฉินหลิงกับจูเจ๋อ ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจกันก็แล้วไปเถิด แต่เวลานี้ด้วยเรื่องดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย ก็ไม่เห็นบุรุษสกุลจูผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว
ความรักลึกซึ้งหรือตื้นเขิน ไม่ต้องบอกก็รู้
นางมองไปที่ฉินสุยจือ
เสื้อผ้าของชายหนุ่มมีแต่ละอองฝุ่น รองเท้าเปื้อนโคลน ฝ่ามือยังมีรอยแดงเพราะควบม้าเร็วจนถูกสายบังเหียนเสียดสี
ฉินสุยจือเห็นนางนิ่งเงียบไปนานไม่พูดอะไรก็อดหัวเราะเยาะหยันตัวเองไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมองคานห้องแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อาหลิง ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี”
ความเจ็บปวดในดวงตาของชายหนุ่มเสียดแทงนัยน์ตาเกินไป ในใจรู้สึกบีบรัด นางลองพยายามปลอบโยน
“ต่อไป…ไม่ทำแล้ว”
ดวงตาของฉินสุยจือชะงักนิ่ง “เจ้าพูดอะไร”
ซูหลิงพยายามเลียนแบบน้ำเสียงของฉินหลิง “พี่ชาย ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว หลายๆ เรื่องข้าก็เห็นชัดเจนแล้ว…ต่อไปจะไม่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
ฉินสุยจือกะพริบตาแรงๆ นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ยังคงใช้น้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพูดจริงหรือ ต่อไปจะไม่ไปพบกับจูเจ๋อผู้นั้นอีกแล้ว?”
ซูหลิงก้มหน้า ส่งเสียง “อืม” ต่ำๆ ออกมาคำหนึ่ง
อาจเพราะหมดสตินานเกินไป เสียงของนางออกจะแหบแห้งอย่างเห็นได้ชัด ฉินสุยจืออดนึกถึงเรื่องที่นางดื่มยาพิษเพื่อจูเจ๋อไม่ได้ แววตาหม่นแสงลง ตบบ่านางเล็กน้อยพลางบอก
“เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนเร็วหน่อย หลายวันนี้ข้าจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนเจ้า”
บอกว่าอยู่เป็นเพื่อน แต่ความจริงแล้วยังคงเพื่อจับตาดูนาง
ทว่าซูหลิงก็กระจ่างแก่ใจดี คำพูดเมื่อครู่ของนาง อย่างมากฉินสุยจือก็เชื่อเพียงครึ่งหนึ่ง อย่างไรเสียคุณหนูใหญ่สกุลฉินก็ทุ่มเทให้กับความรักอย่างสุดชีวิตจิตใจ ยากจะรับรองได้ว่าไม่ใช่เป็นการใช้วิธีการใหม่ถอยเพื่อที่จะรุก
หลังจากฉินสุยจือออกไปแล้ว ซูหลิงกลับมาที่เตียง ครุ่นคิดว่าต่อไปควรจะทำอย่างไรดี
คุณหนูใหญ่สกุลฉินสองหูไม่ฟังเรื่องราวภายนอก ทั้งหัวใจมีแต่คุณชายจู ในความทรงจำของนางไม่มีข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับบ้านสกุลซูและราชสำนักเลย
เวลานี้ข่าวที่นางรับรู้ได้มีเพียงเรื่องเดียว…
การศึกกับแคว้นฉีเมื่อสามปีก่อน ต้าโจวชนะแล้ว แผ่นดินของเขารักษาไว้ได้แล้ว
ส่วนเรื่องอื่น คงได้แต่ต้องไปสืบข่าวที่หอชิ่งเฟิง
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องออกจากบ้านสักครั้ง
วันรุ่งขึ้น ดวงอาทิตย์อยู่เหนือยอดไม้
เหอจูสาวใช้ยืนอยู่ด้านหลังซูหลิงที่อยู่หน้าคันฉ่อง กำลังเอาปิ่นทองเลี่ยมฝังหินลวี่ซงค่อยๆ เสียบลงบนมวยผมของซูหลิง จากนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยขึ้น
“บ่าวไม่เคยเรียนหนังสือ กล่าวคำพูดไพเราะน่าฟังไม่เป็น เพียงรู้สึกว่าคุณหนูรูปโฉมสะดุดตายิ่ง เห็นคุณหนูแล้วก็รู้สึกว่าบุปผาในลานนี้สีสันล้วนดูหมองไป”
ซูหลิงเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย
นี่ไหนเลยจะพูดจาไม่เป็น เห็นชัดว่า ‘พูดเก่งเกินไป’ แล้ว
ถ้าหากนางเป็นฉินหลิงตัวจริง ยามนี้น้ำตาคงแทบจะร่วงรินออกมาแล้ว
คัดเลือกหญิงงาม…คัดเลือกหญิงงาม
แม้จะบอกว่าความรู้ความสามารถ ความประพฤติและคุณธรรม ชาติกำเนิด ความสามารถด้านศิลปะล้วนอยู่ในขอบเขตของการประเมิน แต่พูดอย่างถึงที่สุดแล้ว ยังคงคัดเลือกจากความงาม
ลำพังพูดจากรูปโฉมของบุตรสาวสกุลฉิน คิดจะไม่ได้รับเลือกก็คงยาก
บอกคุณหนูใหญ่สกุลฉินรูปโฉมสะดุดตา ก็ไม่ต่างอะไรกับการแทงมีดเข้าที่หัวใจของนาง
จิตใจของสาวใช้ผู้นี้ เห็นชัดว่าโน้มเอียงไปอีกด้านหนึ่งแล้ว
แม้จะบอกว่าฐานะเปลี่ยนไปแล้ว แต่จะอย่างไรซูหลิงก็ยังคงเป็นฮองเฮาที่เคยควบคุมดูแลหกตำหนักผู้นั้น เพียงมองสบตาชั่วขณะสั้นๆ เหอจูก็อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้
นางกัดริมฝีปาก ยิ้มแห้งบอก “คุณหนู…คุณหนูเหตุใดจึงมองบ่าวเช่นนี้”
ซูหลิงถอดสายตากลับ กล่าวเสียงราบเรียบ “ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถิด”
เหอจูล่าถอยออกไปด้วยความหวั่นหวาดไม่สบายใจ
ประตูยังไม่ทันปิดก็เห็นฉินสุยจือหิ้วอับใส่อาหารสองใบเดินเข้ามา เขายิ้มบอก “เมื่อครู่ข้าไปตลาดมา ซื้อเกี๊ยวน้ำกับปลากะพงนึ่งที่เจ้าชอบกินมาให้ เจ้าไม่ใช่เจ็บคอหรือ กินอาหารรสจืดไม่เลี่ยนดีที่สุด รีบมาเร็ว”
ซูหลิงเข้าไปนั่ง ฉินสุยจือคีบท้องปลาให้นางชิ้นหนึ่ง
ซูหลิงกุมตะเกียบไม้ในมือ ไม่ยอมขยับ
นางไม่ชอบกลิ่นคาว แต่ไรมาก็ไม่กินปลา
“รีบกินสิ คิดอะไรอยู่” ฉินสุยจือเคาะศีรษะซูหลิงทีหนึ่ง เอียงคอยิ้มบอก “เมื่อคืนข้ายังคิดว่าคำพูดเหล่านั้นของเจ้าใช่หลอกข้าหรือไม่ วันนี้ดูแล้ว ยังคล้ายกับเปลี่ยนเป็นคนใหม่ไปจริงๆ”
เพิ่งพูดจบ ซูหลิงก็ไอขึ้นมาทันที
ฉินสุยจือลูบหลังให้นาง “ช้าหน่อยสิ”
“อาหลิง ประเดี๋ยวเจ้าไปหาท่านพ่อกับข้า ยอมรับผิดเสียเถิด” ฉินสุยจือวางตะเกียบลง สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ถึงแม้ในใจของเจ้าเขาจะมีความผิดมากมาย แต่เจ้าใช้ความตายมาบีบบังคับ จะอย่างไรก็มีความผิด…ช่างเถิด เรื่องผ่านไปแล้วก็จะไม่พูดถึง เจ้าก็ถือเสียว่าทำเพื่อข้าได้หรือไม่”
ซูหลิงช้อนตาขึ้นบอก “ได้”
ฉินสุยจือไม่คิดว่านางจะรับปากง่ายดายเช่นนี้ กำลังจะหยักยกมุมปากขึ้นก็ได้ยินซูหลิงเปิดปากพูดต่อ
“พี่ชาย ช่วงบ่ายข้าอยากออกจากบ้านสักหน่อย”
ได้ยินแล้วรอยยิ้มของฉินสุยจือจางหายไปทันที พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อาหลิง เจ้าจะไปพบเขาอีกแล้ว”
ซูหลิงในใจรู้ดีว่าชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของตนค่อนข้างต่ำ เวลานี้คิดจะออกจากบ้านตามลำพังดูจะเป็นไปได้ยาก จึงเอ่ยขึ้น
“สองวันนี้ข้ารู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ อยากจะออกไปเดินเล่น ถ้าท่านไม่วางใจก็ไปด้วยกันกับข้าก็ได้”
ฉินสุยจือมองนางแวบหนึ่ง “ได้ ข้าไปกับเจ้า”