ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา
ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทนำ-บทที่ 2
ทั้งสองคนกินอาหารเสร็จ ฉินสุยจือก็พาซูหลิงไปที่เรือนหลัก
ตอนเข้าประตู เจียงหลันเยวี่ยกำลังจัดตัวเสื้อด้านหน้าให้ฉินวั่ง ทั้งสองคนเดิมกำลังพูดคุยหัวเราะกัน พอเห็นฉินหลิง ฉินวั่งก็ทิ้งมุมปากลงทันที
“เจ้ามาทำอะไร!”
ฉินสุยจือในใจตึงเครียด กลัวมากว่าน้องสาวจะหมุนตัวเดินจากไป จึงรีบปลอบขวัญ “อาหลิง ครั้งนี้ท่านพ่อก็ร้อนใจ เจ้าอย่าคิดมาก พูดจบเราก็จะไป”
ความจริงด้วยนิสัยของคุณหนูใหญ่ ฉินวั่งพูดออกมาเช่นนี้ นางก็เดินออกไปแล้ว ไม่เพียงจะจากไป ยังต้องด่าเจียงหลันเยวี่ยว่านางจิ้งจอกจอมยั่วยวนคำหนึ่ง
เจียงหลันเยวี่ยมองซูหลิงด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม ขณะเตรียมรอชมฉากบิดากับบุตรสาวขัดแย้งกันดุจน้ำกับไฟ ก็ได้ยินซูหลิงพูดขึ้นช้าๆ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ไปพบกับคุณชายจูอีก”
น้ำเสียงของนางพูดไม่ได้ว่านอบน้อมจริงใจสักเท่าไร ทว่าคำพูดเบาหวิวเช่นนี้ประโยคเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ฉินวั่งตะลึงงันแล้ว
นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ฉินวั่งจึงปั้นหน้าจริงจังบอก “ถ้ามีครั้งหน้าอีก สกุลฉินก็จะคิดเสียว่าไม่มีเจ้าบุตรสาวคนนี้”
“ข้าทราบแล้ว”
ซูหลิงหมุนตัวเดินออกไป
หลังจากพี่ชายน้องสาวสองคนออกจากเรือนหลัก เจียงหลันเยวี่ยโน้มตัวรินน้ำชาให้ฉินวั่งถ้วยหนึ่ง นางยิ้มบอก
“ดังคำกล่าวที่ว่าเรื่องเลวร้ายอาจนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี เรื่องที่ดีก็อาจนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีได้ คุณหนูใหญ่ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก ครานี้นายท่านก็วางใจได้แล้วกระมัง”
นับแต่เวินซวงหวาล้มป่วยและจากไป ฉินหลิงก็ไม่เคยพูดจาด้วยจิตใจที่สงบเยือกเย็นกับฉินวั่งเช่นนี้อีกเลย
ยามนี้มุมปากของฉินวั่งคล้ายผิวทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งหนาสามฉื่อปรากฏรอยแตกขึ้น
ทั้งที่ในใจรู้สึกดีใจ แต่ยังคงปากแข็ง “วางใจอะไร เรื่องเหลวไหลที่นางทำยังน้อยอยู่หรือ ไม่แน่วันใดอาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมาอีก”
เจียงหลันเยวี่ยพูดหยอกล้อ “เหลวไหลเพียงใด ก็เป็นลูกที่ท่านให้กำเนิด”
ฉินวั่งพลอยหัวเราะตามไปด้วย
การหัวเราะนี้หาใช่สิ่งที่เจียงหลันเยวี่ยปรารถนา
ฤดูใบไม้ร่วง พอท้องฟ้าอึมครึม ลมก็จะค่อนข้างเย็น
ซูหลิงสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมก้าวขึ้นรถม้า
พาแม่นางน้อยออกมาเที่ยวเล่น ก่อนอื่นก็ต้องไปที่ร้านขายเครื่องประดับ
ใบหน้าของฉินสุยจือเขียนไว้ว่า ‘เจ้าเลือกตามใจชอบ พี่ชายจะจ่ายเงินเอง’ แต่น้องสาวกลับหาสิ่งที่นางต้องการไม่พบ
ฉินสุยจืออับจนปัญญา จำต้องขอกระดาษจากหลงจู๊แล้วเอ่ยช้าๆ “เจ้าพูดมา ข้าจะวาดให้เจ้า”
ซูหลิงอธิบาย ฉินสุยจือขยับพู่กัน
“ข้าอยากได้ปิ่นระย้าทองคำรูปดอกไม้ ด้านบนฝังมุกสีแดง…พี่ชาย ตรงนี้ไม่ถูก ต้องโค้งอีกหน่อย”
“เหตุใดเจ้าไม่บอกแต่แรก” ฉินสุยจือปากก็บ่นว่า แต่ยังคงวาดใหม่อีกแผ่น
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินสุยจือก็เอาภาพวาดให้หลงจู๊ “ทำตามแบบนี้ รบกวนหลงจู๊แล้ว”
หลงจู๊ยิ้มพลางรับมา “คุณชายเกรงใจแล้ว”
ซูหลิงกล่าว “ไม่ทราบว่าปิ่นระย้าทองคำรูปดอกไม้ฝังมุกสีแดงต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะทำเสร็จ”
หลงจู๊จับๆ ปลายคางบอก “ปิ่นระย้านี่วาดได้ละเอียดงดงาม แม่นางรีบร้อนเพียงใดก็ต้องรอสักสิบวัน”
ซูหลิงกล่าวขอบคุณ
สิบวัน พอแล้ว
หลังออกมาจากร้านเครื่องประดับ ทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปทางประตูตงจื๋อ
เพิ่งลงจากรถม้าก็เห็นผู้คนจำนวนมากเดินไปยังทิศทางเดียวกัน
เดิมพวกเขาก็ตั้งใจมาหาความคึกคักอยู่แล้วจึงเดินตามไป ระหว่างทางกลิ่นหอมของดอกกุ้ยโชยมาแรงขึ้นทุกที
พอหยุดฝีเท้าลงถึงพบว่าที่แห่งนี้คือสนามสอบขุนนาง
วันนี้คือวันที่สิบเจ็ดเดือนแปด เป็นวันติดประกาศผลการสอบเซียงซื่อของเมืองหลวง
‘เจี้ยหยวน–ไหวจิง
ย่าหยวน–เหอเหวินอี่ ฉู่เจียงหยา มู่เจิ้งเหยียน ติงจิ่น ถังเหวิน ลั่วชิวเหอ…’
ผู้คนต่างพากันแสดงความยินดีกับบุรุษที่สวมชุดคลุมยาวสีหมึกผู้หนึ่ง “ขอแสดงความยินดีกับคุณชายไหว”
“คิดไม่ถึงจริงๆ คุณชายไหวเข้าร่วมสอบขุนนางครั้งแรกก็ได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนของเมืองหลวงแล้ว อนาคตยาวไกลหาที่สุดมิได้จริงๆ”
“ขอบคุณมาก”
บุรุษที่ถูกห้อมล้อมรูปร่างสูงสง่า สีหน้าลุ่มลึก เส้นโค้งมุมปากไม่ลึกไม่ตื้น ลักษณะท่าทางที่คล่องแคล่วไม่ติดขัดนั่น ดูแล้วไม่คล้ายเพิ่งเข้าสอบขุนนางเป็นครั้งแรก
ซูหลิงเพียงมองแวบเดียวก็ถอนสายตากลับ
ตอนนางหันหน้ามา ฉินสุยจือกำลังมองคำว่า ‘เจี้ยหยวน’ สองคำแน่วนิ่งไม่ขยับ
ในความทรงจำของฉินหลิง ตั้งแต่เด็กฉินสุยจือก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นเด็กเฉลียวฉลาด สามขวบแต่งบทกวีได้ เจ็ดขวบเขียนตัวอักษรได้อย่างงดงาม ถ้าก่อนตายมารดาไม่ได้ให้ฉินสุยจือกล่าวคำสาบาน…
บางทีเจี้ยหยวนในวันนี้อาจเป็นเขา
ฉินสุยจือรู้สึกว่ามีคนกำลังมองตนก็รีบสงบสติอารมณ์ ส่งยิ้มให้ซูหลิง “มองข้าทำไม”
เรื่องบางเรื่องไม่ต้องการคำปลอบใจ ยิ่งไปจี้จุดกลับจะทำให้ยิ่งเจ็บปวด
ซูหลิงบอก “พี่ชาย เราไปกันเถิด”
ทันทีที่สิ้นเสียง ลมหนาวก็พัดมา
หมวกที่มีผ้าโปร่งคลุมบนศีรษะซูหลิงกับแผ่นกระดาษปิดประกาศที่หน้าประตูสนามสอบถูกลมแรงพัดปลิวขึ้นพร้อมกัน
ทว่าพริบตาที่แผ่นกระดาษเลิกขึ้นมา…
หัวใจของซูหลิงคล้ายหยุดเต้นแล้ว
นางเห็นแผ่นประกาศนำจับที่กลายเป็นสีเหลืองแล้วแผ่นหนึ่ง
คนที่อยู่ในประกาศนำจับนี้ เหตุใดจึง…
เพื่อยืนยันการคาดเดาของตน นางก้าวยาวๆ เข้าไปฉีกออกมาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
ในเวลานี้เองบุรุษในชุดสีเทาผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เอ๋? แม่นางฉีกประกาศนำจับออกมามีเจตนาใดหรือ”
ลมพัดซู่ๆ อยู่ข้างหู
ซูหลิงมองภาพวาดบนประกาศนำจับกับตัวอักษรสามตัวที่อยู่ด้านล่างตาไม่กะพริบ
‘ซูไหวอัน’
เป็นไปได้อย่างไร
เขาไม่ใช่…ถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยการเฉือนเนื้อเป็นพันชิ้นไปแล้วหรือ
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น ฉินสุยจือก็เดินเข้ามาถามเสียงต่ำ “อาหลิง มีอะไรหรือ”
ซูหลิงพึมพำขึ้น “นี่คือใคร”
พอได้ยินคำพูดนี้ บุรุษในชุดสีเทาก็หัวเราะบอก “แม่นางไม่ใช่คนเมืองหลวงกระมัง แม้แต่ท่านนี้ก็ไม่รู้จัก เขาน่ะหรือเคยเป็นซื่อจื่อ เจิ้นกั๋วกง รองตุลาการศาลยุติธรรม อ้อ จริงสิ ยังเป็นบัณฑิตจ้วงหยวน ในรัชศกหย่งชางปีที่สามสิบสี่อีกด้วย เดิมควรจะอนาคตยาวไกลหาที่สุดมิได้ ไหนเลยจะคาดคิด…” บุรุษในชุดสีเทาส่ายหน้าบอก “ถึงกับเป็นคนชั่วที่สมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง”
ซูหลิงแอบกำมือแน่น เล็บมือแทบจะทิ่มแทงเข้าไปในฝ่ามือ
นางควบคุมน้ำเสียงของตัวเอง เอ่ยเสียงแผ่ว “สมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง ความผิดสมควรประหาร เหตุใดคนผู้นี้ยังอยู่ในแผ่นประกาศนำจับ”
บุรุษในชุดสีเทาลูบๆ ปลายคางบอก “เฮ้อ ข้าจำได้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อนกระมัง คืนวันที่สิบห้าเดือนแปด คนผู้นี้หายตัวไปจากคุกของกรมอาญา สามปีแล้วยังจับตัวไม่ได้ แทบจะกลายเป็นคดีที่ค้างคาแล้ว”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.