บทที่ 3 ฝีมือการแสดง
ฉินสุยจือมองซูหลิงที่มีท่าทางตกตะลึง อดย่นหัวคิ้วไม่ได้ “อาหลิง เจ้าเป็นอะไรไป หรือเจ้ารู้จักคนผู้นี้”
ซูหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง รีบจัดการกับอารมณ์ของตน เงยหน้าพูดเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเพียงเห็นเขามีส่วนคล้ายกับท่านหลายส่วน ถึงได้ถามด้วยความอยากรู้”
ฉินสุยจือมองภาพวาดชั่วครู่พลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “ที่นี่คนไปกันเกือบหมดแล้ว เราก็ไปกันเถิด”
“ได้”
ตอนทั้งสองกินข้าวอยู่ ซูหลิงเห็นชัดว่าใจลอย
ฉินสุยจือคาดเดาความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีไม่ออก เพียงเข้าใจว่าในใจของนางคงยังคิดถึงจูเจ๋อผู้นั้นอยู่ จึงกล่าวอย่างอับจนปัญญา
“ประเดี๋ยวยังอยากไปที่ใด ข้าจะพาเจ้าไป”
ซูหลิงวางช้อนลง พูดอย่างคล้อยตามเขา “ข้าได้ยินว่างิ้วที่หอชิ่งเฟิงดีมาก อยากไปดูสักหน่อย”
ฉินสุยจือมองนางอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หอชิ่งเฟิงแห่งนั้นปะปนไปด้วยปลาและมังกร หญิงสาวคนหนึ่งเช่นเจ้าจะไปสถานที่เช่นนั้นทำอะไร”
ซูหลิงใช้วิธีถอยเพื่อจะรุก เค้นรอยยิ้มออกมาจางๆ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าท่านไม่อนุญาต เช่นนั้นก็ไม่ไปแล้ว”
รอยยิ้มนี้ฉินสุยจือมองอย่างไรก็มีความหมายว่ายอมถอยเพื่อจะรุก
ถ้าจะบอกว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉินมีนิสัยหยิ่งผยองกำเริบเสิบสานถึงขั้นนี้ได้ ฉินสุยจือก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย เขาตามใจฉินหลิงอย่างไม่มีเงื่อนไขก็ไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน เวลานี้พอเห็นนางไม่สบอารมณ์ก็ทิ้งหลักการเปลี่ยนคำพูดทันที
“ข้าพาเจ้าไปก็แล้วกัน” พูดจบฉินสุยจือก็ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วบอก “เจ้าสวมหมวกปิดหน้าไว้ให้ดี ห้ามถอดลงมา”
ซูหลิงพยักหน้ายิ้ม “ได้”
ฉินสุยจือแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง
ประตูตงจื๋อแห่งเมืองหลวงเป็นเขตที่เจริญที่สุดของต้าโจว
บนท้องถนนผู้คนเดินกันขวักไขว่ ร้านรวงมากมายดุจต้นไม้ในป่า เสียงร้องขายของดังขึ้นตรงโน้นทีตรงนี้ทีไม่ขาดหู
ซูหลิงเหลียวมองรอบด้านเงียบๆ
เมืองหลวงดูคึกคักกว่าแต่ก่อนมาก
พวกนางเดินผ่านหัวโค้งตรอกสุดท้าย มาถึงด้านล่างของหอชิ่งเฟิง
หอชิ่งเฟิงมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นหนึ่งเป็นเวทีงิ้ว ชั้นสองเป็นที่นั่งชั้นพิเศษ คนที่มาดื่มสุราชมงิ้วส่วนใหญ่เป็นขุนนางที่เรืองอำนาจและผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ จอมยุทธ์ในยุทธภพกับพ่อค้าต่างแดน
ส่วนชั้นสามคือศาลาเฟยเหนี่ยว* ที่เลื่องชื่อลือนามในยุทธภพ
นางเพียงเคยขึ้นไปครั้งเดียวเพื่อซื้อข่าวของเซียวอวี้
บนแผ่นป้ายพื้นดำตัวอักษรสีทองสลักคำพูดเช่นนี้ไว้ประโยคหนึ่ง…
‘รู้เรื่องราวในอดีตชาติของท่าน เข้าใจความทุกข์ยากในชาตินี้ของท่าน ไขปริศนาในชาติหน้าของท่าน’
จนทุกวันนี้นางยังจำได้ดี
ซูหลิงตามฉินสุยจือเดินเข้าประตูใหญ่
อวี๋เหนียงหลงจู๊ใหญ่ของหอชิ่งเฟิงพบเห็นคนมานับไม่ถ้วน มีความสามารถสูง เห็นมีคนแปลกหน้ามาก็รีบมองประเมินทันที
ผู้มีอำนาจราชศักดิ์มีหน้ามีตาในเมืองหลวงส่วนใหญ่นางล้วนเคยพบเจอ แต่คุณชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้แต่งเนื้อแต่งตัวไม่คล้ายผู้สูงศักดิ์หรือมีบรรดาศักดิ์ รูปร่างหน้าตาก็ไม่คล้ายคนธรรมดาทั่วไป นางสรุปเอาเองว่าถ้าไม่ใช่บุตรชายพ่อค้าที่ร่ำรวย ก็ต้องเพิ่งมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน
ส่วนแม่นางที่อยู่ด้านหลังเขาผู้นั้น หลงจู๊อวี๋หรี่นัยน์ตาลง
สวมเสื้อที่ทำจากผ้าไหมเนื้อนุ่ม ใส่ต่างหูหยกเขียวเนื้อดีงามหรู แม้จะสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งปิดคลุมใบหน้า แต่ก็ไม่อาจซุกซ่อนความงามเพริศพริ้งและท่วงทีอันงามสง่าไว้ได้
เพียงแต่กลิ่นอายทั่วร่างนั้นนางรู้สึกว่ามีความคุ้นเคยอยู่หลายส่วน แต่ก็พูดไม่ถูกว่าคืออะไร
เมื่อมองอากัปกิริยาของคนทั้งสอง อวี๋เหนียงก็คาดเดาว่า ต้องเป็นพี่ชายน้องสาว
นางเดินเข้ามากล่าวด้วยใบหน้าแฝงรอยยิ้ม “สองท่านมาชมงิ้วหรือ”
ฉินสุยจือพยักหน้าน้อยๆ “ใช่”
อวี๋เหนียงหยักยกมุมปากยิ้ม “เช่นนั้นเชิญทางนี้เถิด”
ผ่านไปครู่หนึ่งอวี๋เหนียงก็กล่าวกับสองพี่น้อง “สองท่านมาได้จังหวะพอดี แม่นางซื่อเยวี่ยที่ขับร้องงิ้วในวันนี้เป็นนักแสดงมีชื่อเสียงที่เมืองก่วงโจวส่งมา รูปโฉมงดงามน่าประทับใจไม่พูดถึง พิณหมากล้อมอักษรภาพวาด ไม่มีสิ่งใดไม่ยอดเยี่ยม”
ซูหลิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ทราบว่าเริ่มแสดงยามใด”
อวี๋เหนียงบอก “อีกหนึ่งเค่อให้หลัง”
ซูหลิงถามอีก “มีบทละครให้อ่านหรือไม่”
อวี๋เหนียงบอก “ย่อมมีแน่นอน ประเดี๋ยวจะเอามาให้แม่นาง”
อวี๋เหนียงคลุกคลีอยู่ในหมู่บุรุษมานานปี ท่วงทีจริตจะก้านเรียกได้ว่าสลักอยู่บนใบหน้า นางเห็นฉินสุยจือรูปงามทั้งสุภาพเรียบร้อยก็อดหยอกล้อไม่ได้
“แม่นางซื่อเยวี่ยของเราขายศิลปะไม่ขายตัว อีกประเดี๋ยวถึงคุณชายจะพึงพอใจเช่นไร ก็อย่าได้โยนเงินลงมาทีพันตำลึงล่ะ”
คำพูดประโยคเดียวทำเอาฉินสุยจือชายหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งภรรยาผู้นี้ใบหูแดงก่ำ
ซูหลิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลังจากอวี๋เหนียงเดินจากไปแล้ว ฉินสุยจือชายตามองนางพลางเอ่ย “ดูท่าทางเจ้าคุ้นเคยกับที่นี่ดี บอกมา ใช่เคยแอบมาที่นี่ไม่ให้ข้ารู้มาก่อนแล้วหรือไม่”
ทันทีที่เขาพูดจบ ซูหลิงก็รีบส่ายศีรษะ แต่ใจกลับเต้นตึกตักขึ้นมา