ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา
ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทที่ 3-4
นับแต่นางตื่นขึ้นมา ไม่รู้มีความรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว
แม้นางได้พยายามเต็มที่ที่จะเลียนแบบฉินหลิงในความทรงจำของนาง แต่อารมณ์ความรู้สึกของคนที่เผยออกมายามไม่รู้ตัวเป็นสิ่งที่ไม่อาจซุกซ่อนได้
สองวันนี้ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่ฉินสุยจือเองก็รำพึงรำพันไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียว บอกว่านางเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
บ้านสกุลฉินก็แล้วไปเถิด ถึงพวกเขาจะรู้สึกแปลก แต่ก็ไม่สงสัยฐานะของนาง
แต่ในวังหลวงก็ไม่เหมือนกันแล้ว
รูปโฉมของนาง เสียงของนาง ลายมือของนาง ความเคยชินทุกอย่างของนางล้วนเป็นภัยพิบัติในวันข้างหน้า
นางเข้าวังด้วยใบหน้าดวงนี้ คนอื่นยังพอหลอกได้ แต่เซียวอวี้เล่า บุรุษที่ฉลาดเฉียบแหลมน้ำนิ่งไหลลึกเช่นนั้น นานวันเข้านางจะรับรองได้อย่างไรว่าจะไม่เผยพิรุธออกมา
ในวังหลวงแต่ละคนล้วนเฉลียวฉลาดปฏิภาณไว ไม่ต้องพูดถึงว่านางไม่ใช่ฉินหลิง ต่อให้คุณหนูใหญ่สกุลฉินยังอยู่บนโลก วิธีการสังหารคนไม่เห็นโลหิตเหล่านั้นก็สามารถมอบความผิดฐานเป็นนางมารให้นางได้
คนเปลี่ยนดวงวิญญาณแล้วยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับภูตผี ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยอมรับนางได้
ถึงตอนนั้นควรทำเช่นไร
ซูหลิงทางนี้กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกลองเสียงดนตรีดังขึ้น
เตาเครื่องหอมสี่ด้านมีควันลอยเป็นเกลียวขึ้นมา ท่ามกลางความพร่ามัวพลันมีข้อมือขาวผ่องเนียนละเอียดข้างหนึ่งลอดออกมาจากม่านผ้าต่วนสีคราม กระดกนิ้วเป็นดอกกล้วยไม้*
จากนั้นสตรีผู้หนึ่งสวมชุดผ้าไหมโปร่งสีแดงปักลายเส้นสีทอง มวยผมบนศีรษะมีปิ่นระย้าเงินถักลายดอกไม้ฝังอัญมณีเสียบอยู่ ใช้พัดบดบังใบหน้า เดินมาที่แท่นเวทีทรงกลมทีละก้าวๆ
ซูหลิงก้มหน้าลงมองบทละครแวบหนึ่ง
…ตำนานอวิ๋นไถ
เนื้อหาเกี่ยวกับสตรีสูงศักดิ์ในจวนโหวที่หลังจากตกอับก็ขายศิลปะในหอคณิกาเพื่อหาเลี้ยงชีวิต
ซูหลิงเอามือค้ำแก้ม ทอดสายตามองไป
เดิมคิดจะดูเพื่อความสนุกสนาน แต่ดูไปดูมาก็เคลิบเคลิ้มหลงใหล
นางไม่เคยเห็นสตรีคนใดที่คิ้วตาจมูกปากไม่มีส่วนใดโดดเด่น แต่กลับมีเสน่ห์ลึกซึ้งถึงในกระดูก ทุกการขมวดคิ้วแย้มยิ้มล้วนเฉิดฉายงดงาม ดีใจ โกรธ เศร้าใจ มีความสุขล้วนแสดงออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว
ยามนางสวมผ้าโปร่งสีแดงเส้นไหมทอง สถานที่แห่งนั้นก็คือหอคณิกา
ยามนางสวมผ้าแพรต่วน สถานที่แห่งนั้นก็คือจวนวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์
ยามเหลียวมามองคลี่ยิ้มจางๆ พอก้มหน้าลงไปก็น้ำตาหยาดหยดได้
ซูหลิงใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะ หยักยกมุมปากเล็กน้อย
แม่นางซื่อเยวี่ยท่านนี้แสดงสีหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม
ฉินสุยจือเห็นนางดูอย่างตั้งอกตั้งใจก็แอบคิดอยู่ในใจ ด้วยนิสัยรักสนุกเช่นนี้ของนาง ถ้าเข้าประตูวังไปได้จริง ก็ไม่รู้วันหน้าจะเป็นเช่นไร
คิดมาถึงตรงนี้ฉินสุยจือก็กำหมัดแน่น
เมื่อวานเขาพานางไปขออภัยบิดา ความจริงไม่ใช่เพียงเพื่อคำว่า ‘กตัญญู’ คำเดียว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด
เขาเอ่ยคำสาบานนั้นออกมา ก็เท่ากับถูกกำหนดไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้ไม่อาจสอบเคอจวี่เข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ถ้าหากนางได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เขานอกจากมอบทรัพย์สินให้มากหน่อยแล้ว ก็ไม่สามารถมอบอะไรให้ได้อีก
ที่นางพอจะฝากความหวังไว้ได้ ก็มีเพียงฉินวั่งคนเดียวเท่านั้น
ฉินสุยจืออยู่เป็นเพื่อนเล่นกับซูหลิงสามวัน ก่อนจะจากไปเขายังสั่งกำชับแล้วกำชับอีก
“ข้าไปแล้ว เจ้าห้ามไปพบจูเจ๋ออีก”
ซูหลิงพยักหน้าติดๆ กัน “ได้ ตกลง ข้าทราบแล้ว”
ฉินสุยจือรับคำเสียงหนึ่งก่อนบอก “เช่นนั้นเดือนหน้าข้าค่อยกลับมาใหม่”
บ้านสกุลฉิน เรือนอุดร
เงาจันทร์สลัวราง ใบไม้ในสวนส่งเสียง
เจียงหลันเยวี่ยนั่งอยู่บนม้านั่งกลม หลุบตาปลดต่างหูพลางพูดกับหมัวมัวที่อยู่ด้านข้างเสียงต่ำ
“หลายวันมานี้คุณหนูใหญ่ทำอะไรอยู่กันแน่ ทางสกุลจูว่าอย่างไรบ้าง”
หมัวมัวสูงวัยกล่าวเสียงต่ำ “คุณชายจูบอกว่าพักหลังมานี้คุณหนูใหญ่ไม่ได้ส่งจดหมายไปทางนั้นอีก”
เจียงหลันเยวี่ยย่นหัวคิ้วบอก “ไม่น่าเป็นเช่นนั้น หรือว่าตายไปครั้งหนึ่งนิสัยก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
หมัวมัวสูงวัยหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “เท่าที่บ่าวดู นางยากจะเปลี่ยนกมลสันดาน ฮูหยินทราบหรือไม่ สองวันนี้คุณชายใหญ่พานางไปที่ใด”
เจียงหลันเยวี่ยเลิกคิ้วถาม “ที่ใดหรือ”
หมัวมัวสูงวัยบอก “หอชิ่งเฟิง พูดขึ้นมาแล้วคุณหนูใหญ่ผู้นี้ก็น่าสนใจ ดูเหมือนเกิดมาก็ไม่ยินดีที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบ หญิงสาวคนหนึ่งเอาแต่ไปหอชิ่งเฟิงจะมีเรื่องดีอะไรได้ คุณชายใหญ่ผู้นี้เหตุใดจึงคล้อยตามนางเช่นนี้”
เจียงหลันเยวี่ยยิ้มหยัน “ตั้งแต่เด็กก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ฉินหลิงอยากได้ดวงจันทร์บนท้องฟ้า ฉินสุยจือก็ต้องไปสอยมาให้นาง ส่วนหรงเอ๋อร์ของข้า ถ้าข้าไม่ช่วงชิงแทนนาง นางก็จะไม่มีอะไรเลย”
หมัวมัวสูงวัยบอก “เรื่องนี้ต้องบอกให้ทางนายท่านทราบหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง” เจียงหลันเยวี่ยทำมือเป็นเลขสาม “ฉินสุยจือไปแล้ว ไม่เกินสามวันนางจะต้องก่อเรื่องขึ้นแน่นอน ถึงตอนนั้นให้นางเป็นคนพูดเอง ไม่ใช่ยิ่งดีกว่าหรือ”
ทว่าแม้แต่เจียงหลันเยวี่ยเองก็นึกไม่ถึง เหตุยุ่งยากที่นางเฝ้ารอคอย ซูหลิงเพียงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันเท่านั้น
ฉินสุยจือกลับไปเชียนอันแล้ว ฉินวั่งต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกวัน เจียงหลันเยวี่ยไม่อาจควบคุมนางได้ ประตูใหญ่บ้านสกุลฉินไม่มีความหมายอะไร ซูหลิงพาสาวใช้บ่าวรับใช้ไปหอชิ่งเฟิงแต่เช้า
ไหนเลยจะรู้ว่าพอเข้าประตูไป หอชิ่งเฟิงถึงกับกำลังวุ่นวายโกลาหลไปหมด
“อวี๋เหนียง เจ้าเสนอราคามา แม่นางซื่อเยวี่ยผู้นี้ คุณชายเช่นข้าต้องเอามาให้ได้”
อวี๋เหนียงกล่าวยิ้มๆ “แม่นางซื่อเยวี่ยขายศิลปะไม่ขายตัว เวลานี้มาขับร้องงิ้วที่หอชิ่งเฟิงก็เพียงเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง คุณชายเจียงไยต้องสร้างความลำบากใจให้สตรีผู้หนึ่ง ถ้าอยากหาคนรู้ใจ คุณชายเจียงไม่สู้ไปดูที่หอคณิกา อีกประการหนึ่ง ถ้าบอกราคาไปจริง ท่านก็ไม่แน่ว่าจะจ่ายไหว”
ซูหลิงย่นหัวคิ้วเล็กน้อย
เจียงตัวใดหรือ
เป็นแซ่เจียงของ ‘เจียงเฉิงหย่วน’ รองเสนาบดีกรมอากร หรือแซ่เจียงของ ‘เจียงจงถิง’ เสนาบดีกรมพิธีการ ที่แท้เป็นตัวใดกันแน่
บุรุษผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง “บิดาของข้าคือเจียงเฉิงหย่วนรองเสนาบดีกรมอากร ข้าเจียงอู้จะไม่มีเงินได้อย่างไร เจ้าเสนอราคามาก็แล้วกัน”
อ้อ เป็นเจียงที่ไม่มีเงินผู้นั้นจริงๆ
ซูหลิงพูดในใจ ด้วยนิสัยคร่ำครึดื้อรั้นเช่นนั้นของบิดาเจ้า เจ้ามีเงินก็แปลกแล้ว
เจียงเฉิงหย่วนเป็นทาสเฝ้าทรัพย์ที่ขึ้นชื่อของกรมอากร เป็นไก่เหล็กตัวผู้ปกติล่วงเกินคนในราชสำนักไม่น้อย
มีคนเคยจับตามองบัญชีของบ้านสกุลเจียงเพื่อค้นหาจุดที่ไม่ถูกต้อง แต่เจียงเฉิงหย่วนบริสุทธิ์ไร้จุดด่างพร้อย ไม่เคยทุจริตแม้แต่น้อยนิด
ซูหลิงเอียงศีรษะมองแม่นางซื่อเยวี่ยที่น้ำตาใกล้จะหยาดหยดแวบหนึ่ง
พลันรู้สึกว่าเจียงอู้ผู้นี้ปรากฏตัวได้ถูกจังหวะพอดี
อวี๋เหนียงยิ้มบอก “ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะคุณชายเจียง วันนี้นอกจากแม่นางซื่อพยักหน้า หาไม่ข้าอวี๋เหนียงก็ไม่อาจเสนอราคาได้”
“ทุกคน ล้อมหอชิ่งเฟิงเอาไว้” เจียงอู้สั่ง “วันนี้ข้าต้องได้ตัวนาง เจ้าก็อย่าว่าข้าแย่งชิงคนจากหอชิ่งเฟิงของเจ้า เงินข้าจะวางไว้ให้เจ้าที่นี่ มีแต่มากไม่มีน้อย”
“ช้าก่อน”
ซูหลิงก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง “คุณชายเจียงอย่าเพิ่งรีบร้อน ในเมื่อท่านเสนอราคาได้ เช่นนั้นข้าก็เสนอราคาได้เช่นกัน ถ้าท่านเสนอราคาได้สูงกว่าข้า ข้าก็จะไป ถ้าผลออกมาตรงกันข้าม ท่านกับคนที่อยู่ข้างหลังท่านเหล่านี้ก็ต้องจากไป”
เจียงอู้หรี่นัยน์ตาจ้องผ้าคลุมหน้าของซูหลิง “เจ้าเป็นใคร มาจากบ้านใด กล้ามาตั้งกฎกับข้า”
ซูหลิงหาม้านั่งตัวหนึ่งแล้วนั่งลง วางข้อมือไว้บนหัวเข่า พูดด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น “คุณชายเจียงไม่จำเป็นต้องสนใจว่าข้าเป็นใคร ในเมื่อเป็นการแข่งขันกันเสนอราคา เช่นนั้นก็ใช้เงินพูดกัน ท่านเห็นเป็นอย่างไร”
เจียงอู้มองจอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรมแห่งยุทธภพที่กอดอกยืนอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง แล้วสูดลมหายใจทีหนึ่ง
“ได้ๆ การแข่งขันกันเสนอราคาใช่หรือไม่ ห้าสิบตำลึง”
ตามจำนวนจ่ายเบี้ยหวัดในเวลานี้ของต้าโจว ห้าสิบตำลึงน่าจะพอซื้ออนุได้สองคน
ใช้เป็นราคาเริ่มต้น นับว่าไม่ต่ำแล้ว
ซูหลิงไม่แม้แต่จะคิดก็พูดต่อทันที “หนึ่งร้อยตำลึง”
บ้านสกุลฉินแม้วงศ์ตระกูลจะไม่โดดเด่น แต่บ้านสกุลเวินกลับร่ำรวยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฉินสุยจือเข้าไปรับช่วงกิจการของสกุลเวิน ยิ่งขยายการค้าจากเชียนอันไปถึงเหอหนาน ปกติก็ยัดเงินให้ฉินหลิงอยู่เสมอ
นางประเมินดูเงินและสิ่งของที่อยู่ในมือฉินหลิงแล้ว มากไปก็ไม่มี แต่แปดร้อยตำลึงยังพอรวบรวมออกมาได้อยู่
เพียงแต่เงินแปดร้อยตำลึงไม่มากไม่น้อยจำนวนนี้นางรวบรวมออกมาได้ บุตรชายของเจียงเฉิงหย่วนก็ทำได้เช่นกัน
เจียงอู้เห็นนางไม่ให้หน้าเพียงนี้ อดไม่ได้ที่จะเอามือเท้าเอว ส่งเสียง “เฮอะ” ออกมาคำหนึ่งแล้วบอก “สองร้อยตำลึง”
ซูหลิงก็พูดต่อทันที “สี่ร้อยตำลึง”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา รอบด้านก็คึกคักขึ้นมาทันที
เจียงอู้สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เขากำหมัดพลางพูดเสียงเย็น “ห้าร้อยตำลึง”
เห็นเขาไม่เพิ่มเป็นเท่าตัวแล้ว ซูหลิงในใจรู้แล้วว่าควรทำเช่นไร ยิ้มพลางบอก “แปดร้อยตำลึง”
เห็นได้ด้วยตาเนื้อว่าเม็ดเหงื่อของเจียงอู้ไหลลงมาจากขมับ เขาพูดด้วยความเดือดดาล “เจ้าเป็นใครกันแน่!”
เขามองแตงเบี้ยวพุทราแตกสองคนที่อยู่ด้านหลังซูหลิง มองอย่างไรก็ไม่คล้ายบ่าวไพร่ของวงศ์ตระกูลที่มีเงินและอำนาจ
แต่ถ้าไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ ความมั่นใจของสตรีผู้นี้ใช่มากเกินไปหน่อยหรือไม่!
ซูหลิงเอ่ยขึ้นช้าๆ “ดูท่าทางของคุณชายเจียง หรือคิดจะลงไม้ลงมือกับข้า? ถ้าวันนี้ท่านลงมือ เกรงว่าบิดาของท่านจะต้องพาคุณชายไปดื่มน้ำชาที่จวนใต้เท้าเซวียแล้ว”
ใต้เท้าเซวียก็คือเซวียเซียงหยางเสนาบดีกรมอาญา พี่ชายร่วมอุทรของเซวียเฟยในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“เจ้าแซ่เซวียหรือ เจ้าเป็นคุณหนูคนที่เท่าไรของบ้านสกุลเซวีย”
บ้านสกุลเซวียนั้นมีบุตรหลานมาก มีคุณหนูหลายคน
ซูหลิงไม่ตอบ กลับย้อนถาม “แม่นางซื่อเยวี่ยยังอยู่ที่นี่ คุณชายเจียงยังสู้ราคาหรือไม่”
เห็นท่าทีเช่นนี้ เจียงอู้ก็ไม่กล้าเพิ่มราคาแล้ว หรือจะบอกว่าเขาไม่เห็นว่านักแสดงงิ้วผู้นี้มีค่าถึงแปดร้อยตำลึง
เขาย่นหัวคิ้วบอก “เจ้าผู้เป็นสตรีผู้หนึ่ง เอาเงินแปดร้อยตำลึงซื้อนักแสดงงิ้วคนหนึ่งไปทำอะไร!”
“ที่ท่านทำคือซื้อ แต่ข้าไม่ใช่ วันนี้จะอยู่หรือไป ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของนาง”
คำพูดนี้มีความหมายคล้ายพบเห็นความไม่เป็นธรรมบนท้องถนนจึงชักดาบเข้าช่วยเหลือ
ซูหลิงลุกขึ้นมาเดินไปถึงเบื้องหน้าซื่อเยวี่ย เปิดผ้าคลุมหน้าออกครึ่งหนึ่ง เอ่ยขึ้นเบาๆ “แม่นางซื่อ จะไปกับข้าหรือไม่”