บทที่ 4 ยั่วยวนคน
หญิงสาวโยนเงินแปดร้อยตำลึงซื้อหญิงขับร้องคนหนึ่งกลับบ้านเป็นเรื่องที่พบเห็นน้อยมาก
วันนั้นที่หอชิ่งเฟิงก็ก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นมาไม่น้อย
มีคนบอกว่านี่เป็นการเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อผดุงคุณธรรม ทว่าก็มีคนบอกว่าความชื่นชอบของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่และขุนนางที่เรืองอำนาจแต่ไรมาก็คาดเดายาก ใช้เงินฟุ่มเฟือยตามอำเภอใจก็ดี เสียสละช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อผดุงคุณธรรมก็ช่าง ล้วนเป็นไปได้ว่าจะเกิดจากอารมณ์สนุกสนานชั่ววูบ
…อารมณ์สนุกสนาน
ตอนแรกซื่อเยวี่ยเองก็คิดเช่นนี้
ดังนั้นตอนที่นางรู้ว่าฉินหลิงใช้เงินทั้งหมดของตนจึงซื้อตัวนางมาได้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
เมฆดำหนาหนัก เงาจันทร์กำลังจะดับไป
ซูหลิงนั่งอยู่บนม้านั่งกลม ซื่อเยวี่ยยืนอยู่กลางห้อง
ซื่อเยวี่ยนิ่งเงียบไปนานแล้วจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ดูเหมือนว่าการกระทำของคุณหนูในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบ”
ซูหลิงพยักหน้า บอกตามตรง “ถูกต้อง”
ซื่อเยวี่ยกล่าวช้าๆ “ซื่อเยวี่ยเป็นเพียงหญิงขับร้องเล่าเรื่องประโลมโลก นอกจากร้องเพลงงิ้วแล้ว ก็ทำได้เพียงใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่างที่เหล่าบุรุษชื่นชอบ ไม่ทราบว่าคุณหนูฉินซื้อตัวข้ามาเพื่อจะทำอะไรหรือ”
“แม่นางซื่อเชี่ยวชาญพิณ หมากล้อม คัดอักษร วาดภาพ ทั้งร้องเพลงงิ้วก็ดี เหตุใดต้องดูถูกตัวเองจนเกินไป วันนี้ข้าเชิญแม่นางซื่อมาที่บ้านของข้า เพียงเพื่อจะขอคำชี้แนะเล็กน้อย”
“ขอคำชี้แนะ?” ซื่อเยวี่ยหัวเราะเล็กน้อย “คุณหนูเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง หากคิดจะศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ด้านศิลปะบทกวี สามารถไปหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงขจรขจายไปไกล เวลานี้ใกล้จะคัดเลือกหญิงงามครั้งใหญ่ ในเมืองหลวงไม่รู้มีสตรีที่ปราดเปรื่องเชี่ยวชาญพิณเชี่ยวชาญภาพวาดมามากมายเท่าไร เพราะเหตุใด…”
พูดถึงตรงนี้ซื่อเยวี่ยนิ่งงันไปชั่วขณะ
ฉินหลิงเป็นบุตรสาวคนโตของไท่สื่อลิ่ง อายุสิบหกปีพอดี
“คุณหนูฉินจะเข้าวังคัดเลือกหญิงงามหรือ”
“ใช่” ซูหลิงลุกขึ้นมาช้าๆ เอาสัญญาขายตัวของซื่อเยวี่ยส่งให้ถึงมือนางพลางพูดเบาๆ “สิ่งที่ข้าอยากเรียน มีเพียงแม่นางซื่อที่สอนได้ นี่นับเป็นค่าสอน”
ซื่อเยวี่ยมองสัญญาขายตัวในมือ ตอนแรกก็ตะลึงงัน จากนั้นก็ตาแดงแล้ว
เรื่องที่ซูหลิงใช้เงินก้อนโตซื้อหญิงขับร้องกลับมาที่จวน ทันทีที่ไก่ขัน เรื่องก็ไปถึงหูของฉินวั่ง
ฉินวั่งโมโหจนมือสั่น แขนเสื้อยาวตวัดรวบ ก้าวยาวๆ ดุจดาวตกบุกเข้ามาที่เรือนของฉินหลิง
ประตูถูกผลักเข้ามาดัง ‘ปัง’
“ข้าดูถูกเจ้าไปแล้วจริงๆ แปดร้อยตำลึง…สตรีผู้หนึ่งเช่นเจ้าถึงกับใช้เงินแปดร้อยตำลึงซื้อหญิงขับร้องคนหนึ่งกลับมา! เจ้าเห็นบ้านสกุลฉินเป็นอะไร เป็นหอคณิกาหรือ ไม่ว่าใครก็กล้าพากลับมา!” ฉินวั่งเอามือกุมหน้าอกพูด
ซูหลิงยืนขึ้นมา กล่าวกับฉินวั่ง “ท่านพ่ออนุญาตให้ข้าได้ชี้แจงเล็กน้อยได้หรือไม่”
“ชี้แจงอันใด! เจ้าจะชี้แจงอันใด!” หลังจากฉินวั่งเห็นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายซูหลิงชัดเจน ก็รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้ามืดลงรำไร เขาหอบหายใจแรงพลางเอ่ย “เจ้าไม่ต้องชี้แจงกับข้า ตอนนี้รีบพาคนส่งกลับไปให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ซูหลิงมองฉินวั่งที่เดือดดาลจนผมชี้ชันค้ำหมวก พูดด้วยความอดทนข่มกลั้น “ท่านพ่อระงับโทสะด้วย ข้าจ่ายค่าไถ่ตัวมาโดยไม่ได้เปิดเผยชื่อ ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของสกุลฉินต้องเสียหาย นอกจากนี้แม่นางซื่อจิตใจสูงส่งบริสุทธิ์ หากไม่ใช่เพราะหลายปีก่อนครอบครัวเกิดเหตุพลิกผันขึ้น ก็คงไม่มาขายศิลปะที่หอชิ่งเฟิง…”
ฉินวั่งตัดบททันควัน “แล้วอย่างไร อาหลิง ชีวิตทุกข์ระทมแล้วอย่างไร ในโลกนี้คนน่าสงสารมีมากมาย หรือว่าเจ้าจะพากลับมาบ้านทั้งหมด ยังจ่ายค่าไถ่ตัวมาโดยไม่ได้เปิดเผยชื่อ ใต้หล้านี้ไม่มีกระดาษที่ห่อไฟได้! เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าการกระทำที่รักสนุกชอบเอาชนะนี้ วันหน้าจะไม่นำพาภัยพิบัติมาสู่บ้านสกุลฉิน!”
ได้ยินแล้วซูหลิงก็กล่าวช้าๆ “แล้วเหตุใดตอนนั้นท่านพ่อไม่อดทนข่มกลั้นไว้ก็พาคนน่าสงสารกลับมาบ้าน”
พอสิ้นเสียง เจียงหลันเยวี่ยที่ยืนอยู่หน้าประตูก็พลันหน้าดำคล้ำไปทั้งหน้า
คนน่าสงสารคนนั้นก็คือเจียงหลันเยวี่ยที่ ‘ชีวิตทุกข์ระทม’
ฉินวั่งถึงกับสะอึก
แม้สิ่งที่ซูหลิงพูดล้วนเป็นความจริง แต่ในสายตาของฉินวั่ง บิดาคือบิดา บุตรคือบุตร เขาว่านางได้ นางว่าเขาก็คืออกตัญญูไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่
เขาโกรธจนเดินวนไปรอบห้อง เพิ่งยกมือขึ้นเตรียมจะเรียกบ่าวรับใช้ ก็เห็นเจียงหลันเยวี่ยขอบตาแดงวิ่งเข้ามา
“นายท่านอย่าบันดาลโทสะ”
ฉินวั่งกล่าวเสียงเฉียบขาด “เจ้ามาทำอะไร! เจ้าไม่ต้องพูดแทนนางแล้ว! ต่อให้เจ้าพูดจนปากฉีก นางก็ไม่รับน้ำใจ”
น้ำตาของเจียงหลันเยวี่ยไหลพรากลงมา “นายท่าน คุณหนูใหญ่อายุยังน้อย นิสัยยังไม่เป็นผู้ใหญ่ อาจถูกผู้อื่นหลอกไปชั่วขณะก็เป็นได้ ไม่ผ่านเรื่องราวไม่รู้ถึงบุญคุณของบิดามารดา ท่านก็อย่าโกรธไปเลย”
“สิบหกยังนับว่าเด็กหรือ แล้วเมื่อใดนางจึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นางเป็นเช่นนี้ไปเข้าร่วมการคัดเลือกหญิงงาม เมื่อใดเข้าวังไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าข้าอาจต้องเสียหมวกผ้าโปร่งดำ วันใดศีรษะต้องหลุดร่วงลงมาก็เป็นเรื่องปกติ! เช่นนี้ยังไม่สู้ให้หรงเอ๋อร์เข้าวัง!”
เจียงหลันเยวี่ยทางหนึ่งเช็ดน้ำตา ทางหนึ่งบอก “นายท่านอย่าพูดเช่นนี้ บุตรที่เกิดจากภรรยาเอกกับบุตรที่เกิดจากอนุจะอย่างไรก็แตกต่างกัน ระวังจะถูกคนอื่นได้ยินเข้า”
ซูหลิงมองเจียงหลันเยวี่ย พลันรู้สึกเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเวินซวงหวากับฉินหลิงจึงเสียสติ