ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา
ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทที่ 3-4
นางไม่อาจทนดูต่อไปได้ จึงเอ่ยปากตามตรง “แม่นางซื่อเชี่ยวชาญพิณ หมากล้อม คัดอักษร วาดภาพ ข้าเชิญนางมาก็เพื่อการเข้าวังคัดเลือกหญิงงาม”
พริบตานั้นฉินวั่งถูกทำให้โมโหจนหัวเราะแล้ว “ข้าหาอาจารย์มาให้เจ้าตั้งหลายคน เจ้ายังไม่ยอมเรียน เวลานี้เปลี่ยนเป็นหญิงขับร้อง เจ้าก็ยอมเรียนแล้ว?”
คุณหนูใหญ่กับฉินวั่งเข้ากันไม่ได้ดุจน้ำกับไฟ นางจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาไปเสียทุกอย่าง
ฉินวั่งให้นางทำอะไร นางก็จะทำในสิ่งตรงข้าม ส่งผลให้ความรู้และสติปัญญาตื้นเขิน นอกจากดีดพิณได้สองเพลง เมื่อเปรียบกับฉินหรงที่เจียงหลันเยวี่ยให้กำเนิดแล้ว พูดได้ว่าคนหนึ่งอยู่บนฟ้า คนหนึ่งอยู่ใต้ดิน
ซูหลิงพูดอย่างจริงจัง “ถ้าท่านพ่อไม่เชื่อ เช่นนั้นไม่สู้กำหนดเวลาไว้ครึ่งเดือน หลังจากครึ่งเดือนท่านพ่อสามารถตรวจสอบการคัดตัวอักษรวาดภาพของข้าด้วยตนเอง รวมทั้งธรรมเนียมมารยาทในวัง ถ้าไม่มีความก้าวหน้า ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก ทุกอย่างแล้วแต่ท่านพ่อจะจัดการ”
เจียงหลันเยวี่ยย่นหัวคิ้วมองซูหลิงแวบหนึ่ง
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ แววตาของฉินวั่งก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ถลึงตาใส่ซื่อเยวี่ยอย่างดุดันทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“ได้ เจ้าจำคำพูดวันนี้ไว้ให้ดี ครึ่งเดือนให้หลัง ถ้าเจ้ายังเป็นเหมือนเมื่อก่อน คนผู้นี้! ต้องไปจากที่นี่!”
ซูหลิงบอก “เรื่องนี้แน่นอน”
หลังจากฉินวั่งกับเจียงหลันเยวี่ยไปแล้ว ซื่อเยวี่ยก็รีบกล่าว “คุณหนูฉิน พิณ หมากล้อม คัดอักษร วาดภาพ ซื่อเยวี่ยสามารถถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้ได้ แต่ธรรมเนียมมารยาทในวัง ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ”
“ไม่เป็นไร”
สำหรับซูหลิงแล้ว ธรรมเนียมมารยาทในวังนั้นไม่จำเป็นต้องเรียน
นางเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อครู่แม่นางซื่อคงเห็นเจียงอี๋เหนียงผู้นั้นแล้ว”
ซื่อเยวี่ยบอก “เห็นแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นไม่สู้สอนความสามารถในการหลั่งน้ำตาได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตาให้ข้าก่อนเป็นอย่างไร”
ได้ยินแล้วซื่อเยวี่ยก็อดหัวเราะตามไม่ได้ “เช่นนั้น…ไม่รู้ความยากลำบากของการเป็นนักแสดงงิ้ว แม่นางฉินจะทนได้หรือไม่”
“เจ้าสอนมาก็แล้วกัน”
ซูหลิงย่อมเข้าใจถึงเหตุผลที่ว่าฝึกฝนสิบปีเพื่อขึ้นเวทีแสดงเพียงชั่วครู่เดียว ดังนั้นตอนนางเอ่ยคำพูดนี้ก็เพียงเพื่อหยอกล้อ
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกนี้ยังมีของเช่นขี้ผึ้งเร่งน้ำตาอยู่ด้วย
ซื่อเยวี่ยหยิบขวดเครื่องเคลือบสีน้ำตาลแบนออกมาใบหนึ่ง “นี่คือขี้ผึ้งเร่งน้ำตา เดิมทีซื่อเยวี่ยเป็นม้าผอมถูกคนขายมาแล้วสี่ครั้งจึงได้พบกับอาจารย์ ได้ฝึกฝนเรียนรู้ความสามารถในการหาเลี้ยงปากท้อง ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้ เพียงนึกถึงวันเวลาในอดีตก็หลั่งน้ำตาได้แล้ว แต่คุณหนูฉินเป็นสตรีสูงศักดิ์ คิดว่าคงไม่เคยได้รับความทุกข์ยากอันใด ไม่สู้ลองใช้ของสิ่งนี้ แตะเล็กน้อยแล้วนำมาทาที่ใต้ตาก็ใช้ได้”
ซูหลิงยื่นมือไปแตะเล็กน้อย เพิ่งจะทาไปที่ใต้ตา น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาราวทำนบแตก
ซื่อเยวี่ยหยิบคันฉ่องสำริดที่อยู่ด้านข้างมา “คุณหนูฉินท่านดู”
พอมองไป ลูกตาดำของซูหลิงคล้ายสั่นสะท้านไปหมด
ดวงตาคู่นี้หางตาแดงระเรื่อ ขนตาชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเวทนาสงสาร คล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ซื่อเยวี่ยยิ้ม “คุณหนูฉิน แปดร้อยตำลึงนี้คุ้มค่าหรือไม่เจ้าคะ”
ซูหลิงพยักหน้า
คุ้มค่า
ตอนแรกซื่อเยวี่ยก็คาดเดาไม่ออกว่าที่แท้แล้วซูหลิงคิดจะทำอะไร
อย่างเช่นเห็นอยู่ว่าซูหลิงเขียนตัวอักษรได้งดงามอยู่แล้ว กลับจะเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษรเป็นอีกแบบหนึ่ง และอย่างเช่นเห็นอยู่ว่าอากัปกิริยาของนางสง่าภูมิฐานมีมารยาท สุภาพงดงาม กลับจะเรียนรู้เสน่ห์และกิริยาท่าทางความอ่อนช้อยจริตจะก้านอันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงขับร้อง
แต่ระหว่างคนฉลาดด้วยกัน อาจมีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย
ซื่อเยวี่ยไม่ถาม ซูหลิงก็ไม่เอ่ยถึง
นางอยากเรียนอะไร ซื่อเยวี่ยก็สอนอย่างนั้น
ซูหลิงขลุกอยู่ในห้องฝึกคัดอักษรทั้งวัน ข้อมือคล้ายถูกเสียดสีจนแตกแล้ว บางครั้งเขียนจนถึงก่อนฟ้าสางแล้วฟุบหลับไปบนโต๊ะ
ซื่อเยวี่ยมีฐานะเดิมเป็นม้าผอม พบเห็นบุรุษสตรีมานับไม่ถ้วน แต่นางไม่เคยพบสตรีเช่นคุณหนูใหญ่สกุลฉินมาก่อน
ซูหลิงขอให้ซื่อเยวี่ยเข้มงวดสักหน่อย ซื่อเยวี่ยจึงวางท่าทีเช่นเดียวกับตอนอาจารย์ของนางสอนนาง
นางเอาบทงิ้วจำนวนมากให้ซูหลิงอ่าน เดิมเข้าใจว่าคุณหนูบ้านขุนนางคงไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เท่าไร เห็นแปลกใหม่สักสองวันก็คงพอแล้ว
กลับไม่คิดว่าซูหลิงจะยึดมั่นยิ่ง ไม่ว่าจะเจอบทงิ้วที่เอ่ยปากยากเพียงใดก็ไม่เคยพูดคำว่า ‘ไม่’
แต่ความสามารถในการร้องงิ้ว ประการแรกต้องอาศัยการฝึกฝน สองต้องอาศัยความเข้าใจ มีคนมากมายฝึกฝนมาทั้งชีวิตก็ยังขึ้นเวทีไม่ได้
นางรู้ว่าซูหลิงขาดตรงจุดใด กลับลังเลไม่กล้าเอ่ยปาก
สุดท้ายยังคงเป็นซูหลิงที่ฉีกกระดาษที่กั้นกลางอยู่แผ่นนี้ออก นางพูดอย่างจริงจัง “แม่นางซื่อยังคงพูดออกมาตามตรงเถิด”
ซื่อเยวี่ยพินิจพิเคราะห์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูซูหลิง “คุณหนูฉินหากคิดจะเป็นคนอื่น ต้องลืมก่อนว่าตนคือใคร บทงิ้วมีความสุข ท่านก็มีความสุข บทงิ้วระทมทุกข์ ท่านก็ทุกข์ระทม”
หากคิดจะเป็นคนอื่น ต้องลืมก่อนว่าตนคือใคร
ซูหลิงมองสบตากับซื่อเยวี่ย นิ่งเงียบไปพักใหญ่จึงบอก “ขอบคุณมาก”
แสงอาทิตย์จะส่องจากหน้าต่างด้านตะวันออกไปถึงหน้าต่างด้านตะวันตกทุกวัน
ซื่อเยวี่ยเห็นในดวงตาสุกใสงดงามคู่นั้นของซูหลิงมีประกายแสงเพิ่มขึ้นชั้นหนึ่ง มีความระยิบระยับพร่างพราวเพิ่มขึ้นชั้นหนึ่ง
หยิ่งผยองเอาแต่ใจ ภูมิฐานเพียบพร้อมคุณธรรม น้ำตาขังคลอจะร้องไห้ เปี่ยมเสน่ห์ยั่วยวนคน ล้วนคือนาง
ซูหลิงวางบทงิ้วในมือลง มุมปากมีรอยยิ้มผุดขึ้นจางๆ นางได้กลายเป็นบุตรสาวสกุลฉินไปแล้ว ต่อไปนี้นางก็คือฉินหลิง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วก็มาถึงครึ่งเดือนให้หลังแล้ว…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ต.ค. 66 เวลา 12.00 น.