ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทที่ 5-6 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา

ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทที่ 5-6

หลังจากฉินหลิงและฉินหรงนั่งลง เฉินซือจี๋ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “ขอให้คุณหนูทั้งสองเขียนลำดับคนในวงศ์ตระกูลสามชั่วคน พร้อมทั้งสิ่งที่ตนเองถนัดและเชี่ยวชาญออกมา”

ฉินหลิงพยักหน้าแล้วเริ่มฝนหมึก

ฉินวั่งมองข้อมือขาวผ่องนวลเนียนของฉินหลิงแล้วอดถอนหายใจยาวไม่ได้

บุตรสาวคนโตของเขา มองแวบแรก ภายนอกรูปงามภายในเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดาย หนึ่งไม่อาจเปิดปากพูด สองไม่อาจจับพู่กันเขียนอักษร

ข้อตกลงที่กำหนดไว้ครึ่งเดือน พูดตามตรงฉินวั่งไม่ได้โอบกอดความหวังอะไรมากนัก นางหาหญิงขับร้องมาคนหนึ่งเพื่อจะฝึกฝนเรื่องกฎระเบียบ นี่ไม่ใช่เห็นเป็นเรื่องล้อเล่นหรือ

ฉินหลิงฝนหมึกเสร็จก็หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มน้ำหมึก

หัวใจของฉินวั่งบีบรัดไปตามการเคลื่อนไหวของนาง

นางจะจรดพู่กันแล้ว

จะจรดพู่กันแล้ว

จรดพู่กันลงไปแล้ว…

ฉินวั่งกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อน จากนั้นก็ลูบหน้าตัวเองแรงๆ ทีหนึ่ง หัวใจทั้งดวงขึ้นไปแขวนอยู่ที่ลำคอ

อีกด้านหนึ่ง เฉินซือจี๋มองบุตรสาวสกุลฉินทั้งสองคนด้วยสีหน้าแฝงรอยยิ้ม

ต่างบอกว่าคนงามอยู่ใต้โคมไฟยิ่งงาม คำพูดนี้กล่าวได้ไม่ผิด ไม่ว่าสุดท้ายแล้วฉินหลิงจะเขียนตัวอักษรออกมาเช่นไร แค่ท่วงทีกิริยาที่สุภาพสง่างาม กับต้นคอที่ขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ ก็เพียงพอให้ภาพเบื้องหน้าสว่างไสวแล้ว

เวลาผ่านไปครึ่งเค่อ ฉินหลิงก็วางพู่กัน นางเขียนเสร็จแล้ว

เฉินซือจี๋เดินเข้าไป หยิบกระดาษทั้งสองแผ่นขึ้นมา พินิจพิจารณาดูอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ตัวอักษรของคุณหนูทั้งสองล้วนไม่เลว”

ทันทีที่พูดจบ ฉินวั่ง ฉินหรง และเจียงหลันเยวี่ยต่างย่นหัวคิ้วพร้อมกัน

ล้วนไม่เลว?

จะเป็นไปได้อย่างไรที่ล้วนไม่เลว

ฉินวั่งก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง เบิกตากว้าง มองตัวอักษรบนกระดาษเซวียนจื่อ* ครั้งแล้วครั้งเล่า

ถ้าไม่ใช่เห็นกับตาตนเอง เขาต้องเข้าใจว่าฉินหลิงต้องหาคนคัดตัวอักษรเหล่านี้ไว้ก่อนเป็นแน่

หรือว่าครึ่งเดือนมานี้นางได้ฝึกฝน…

ฉินวั่งมองข้อมือของฉินหลิง

เห็นข้อมือของนางยังมีรอยแดงอยู่ แววตาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมาทันที

เฉินซือจี๋กล่าว “วันนี้ข้าออกจากวังมาปฏิบัติภารกิจ เวลากระชั้นชิด ก็จะเลือกพูดแต่เรื่องที่สำคัญแล้วกัน การคัดเลือกใหญ่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองบัลลังก์ที่จะคัดเลือกหญิงงามจากในหมู่ราษฎร เวลานี้รายชื่อที่ส่งไปถึงกรมพิธีการมีมากกว่าห้าพันแล้ว อีกครึ่งเดือนให้หลังก็จะเป็นการคัดเลือกขั้นต้น หลังจากการคัดเลือกรอบแรก ห้าพันคนก็จะเหลือสองพันคน จากนั้นก็จะเป็นการคัดเลือกรอบสองและต้องพำนักอยู่ในวัง สุดท้ายหญิงงามที่จะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทมีเพียงสามร้อยคนเท่านั้น”

คำพูดเหล่านี้พอเอ่ยออกมา มุมปากของฉินหลิงหยักยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายมีคล้ายไม่มี

นางรู้ว่าคนที่เข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้มีจำนวนไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าถึงกับมีหญิงงามห้าพันนางรอให้เขามาเลือก

เฉินซือจี๋กล่าวต่อ “รอเข้าไปตำหนักฉู่ซิ่วแล้ว กฎระเบียบที่ต้องเรียนรู้ก็ยิ่งมากแล้ว ตำหนักในเข้มงวดเรื่องลำดับชั้น ในวังจะแบ่งเครื่องประดับยศแตกต่างกันไป ค่าใช้จ่ายเสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนมีข้อกำหนด ถ้าโชคดีผ่านการคัดเลือกรอบสอง จะทำอะไรต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ไม่อาจผิดพลาดเป็นอันขาด…”

เพราะเมื่อใดที่เกิดความผิดพลาด ชีวิตก็ไม่เหลือแล้ว

เฉินซือจี๋พูดต่อเนื่องกันอยู่หนึ่งชั่วยาม ฉินหรงบุตรสาวที่เกิดจากอนุฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉินหลิงกลับใจลอย

กระทั่งพูดถึงทายาทของฮ่องเต้ ฉินหลิงจึงตั้งอกตั้งใจฟังขึ้นมาทันที

“…นอกจากองค์ชายใหญ่ที่อดีตฮองเฮาทรงให้กำเนิดแล้ว พระชายาทั้งสามในวังต่างยังไม่มีโอรสธิดา เวลานี้กิจการงานของหกตำหนัก ไทเฮาทรงควบคุมดูแลทั้งหมด”

คิ้วเรียวดุจกิ่งหลิวของฉินหลิงขยับเข้าหากัน

พระชายาทั้งสามในวังต่างยังไม่มีโอรสธิดา?

เซวียเฟย หลิ่วเฟย สองคนนี้ก็แล้วไปเถิด สามปีแล้วหลี่ย่วนที่เขารักและเอ็นดูมาโดยตลอดถึงกับยังไม่มีทายาท?

ฉินหลิงแย้มยิ้ม พูดขึ้นเบาๆ “ขอบังอาจถามซือจี๋ องค์ชายใหญ่ใช่เลี้ยงดูอยู่ข้างพระวรกายไทเฮาหรือไม่”

นางคิดว่าถึงคำพูดนี้จะถามอย่างบุ่มบ่ามไปสักหน่อย แต่เฉินซือจี๋ก็คงให้คำตอบนาง

เซียวอวิ้นถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายไทเฮาก็ดี อยู่กับใครก็ได้ ขอเพียงเขาอยู่รอดปลอดภัยก็พอ

ใครจะคาดคิดว่าเฉินซือจี๋พลันเปลี่ยนสีหน้า “เรื่องขององค์ชายใหญ่ ขออภัยที่ข้าไม่อาจตอบ ข้าเองก็ขอเตือนคุณหนู คำพูดในวันนี้ไม่อาจนำไปเอ่ยกับผู้อื่นอีกเป็นอันขาด ถ้าเป็นเรื่องที่เจ้าควรรู้ ย่อมจะได้รู้ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้ก็ไม่อาจถาม”

ฉินหลิงเผยท่าทีเสียใจที่พูดผิด กล่าวตอบไปว่า “ขอบคุณซือจี๋ที่เมตตาสั่งสอน”

 

ดวงอาทิตย์คล้อยตกไปทางตะวันตก เฉินซือจี๋ออกจากบ้านสกุลฉิน

ฉินวั่งรั้งฉินหลิงอยู่ที่ห้องโถงหลักเพื่อสอบถาม “อาหลิง ตัวอักษรของเจ้ากับกฎระเบียบในวันนี้ ล้วนเป็นหญิงขับร้องผู้นั้นสอนให้เจ้าหรือ”

“เจ้าค่ะ” ซูหลิงพยักหน้า “แม่นางซื่อมีวิธีในการสอน รู้ว่าข้าไม่ชอบฟังเรื่องกฎระเบียบ เพียงชอบฟังงิ้ว จึงร้องเพลงงิ้วเกี่ยวกับในวังให้ข้าฟัง ดูไปดูมาก็เข้าใจไปเอง”

ฉินวั่งพูดด้วยความประหลาดใจ “ยังทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือนี่”

ฉินหลิงพยักหน้า “ไม่เพียงแค่นั้น นางยังสอนข้าดีดพิณแต่งบทกวีอีกด้วย”

ฉินวั่งเหลือบตาไปที่ข้อมือของบุตรสาว ไอไปสองทีแล้วจึงถามว่า “ข้อมือของเจ้าใส่ยาแล้วหรือ”

ฉินหลิงก้มหน้ามองข้อมือแวบหนึ่ง ยิ้มบอก “ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ!”

ฉินวั่งเลิกคิ้ว

“เปรียบกับแม่นางซื่อแล้ว นี่ไม่นับเป็นอะไรได้” ฉินหลิงยิ้มแล้วบอก “ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ แม่นางซื่อเพื่อจะร้องงิ้ว แสดงเป็นคนที่ใกล้ตายคนหนึ่ง ถึงกับไม่กินอาหารอยู่สามวัน ท่านว่านางร้ายกาจหรือไม่”

ฉินวั่งมองรอยยิ้มของฉินหลิงแล้วพลันนิ่งอึ้ง ขอบตาร้อนผ่าวอย่างประหลาด

กี่ปีแล้ว…

เขาเองก็จำไม่ได้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่ได้เห็นฉินหลิงยิ้มให้ตน

เขาพลันรู้สึกว่าฉินหลิงไม่ได้เลวร้ายเช่นที่เขาคิด นางร่าเริงสดใสน่ารักเช่นนี้ เหมือนตอนเด็ก ไม่มีอันใดแตกต่าง

หรือว่า…เป็นข้าที่ใช้วิธีผิดมาโดยตลอด

ฉินวั่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ฝืนยิ้มออกมาจางๆ “ร้ายกาจ แม่นางซื่อเยวี่ยผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ”

ฉินหลิงกัดริมฝีปากล่างทีหนึ่ง “ท่านพ่อไม่ไล่นางไปแล้วใช่หรือไม่”

ฉินวั่งส่ายศีรษะ “ย่อมไม่”

ฉินหลิงถูๆ ข้อมือ พูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ท่านพ่อ วันนี้เฉินซือจี๋เอ่ยถึงองค์ชายใหญ่ เพราะเหตุใดจึงมีท่าทีผิดปกติเช่นนั้น”

ฉินวั่งตื่นจากภวังค์แล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงอยากรู้เรื่องขององค์ชายใหญ่มากเพียงนี้”

“อืม…” ฉินหลิงกลอกนัยน์ตาเล็กน้อย ทำท่าครุ่นคิดจริงจังอยู่ชั่วขณะ “เมื่อครู่ข้าก็เพียงถามไปเรื่อยเปื่อย แต่ท่าทีของเฉินซือจี๋ดูเคร่งเครียดจริงจังมาก จึงคิดจะถามท่านพ่อดู”

ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ฉินวั่งก็อดหัวเราะไม่ได้ “ในเมื่อนางกำชับเจ้าแล้วว่าห้ามเอ่ยกับคนอื่น เหตุใดยังจะถาม”

ฉินหลิงน้ำเสียงราบเรียบ พูดอย่างตามเหตุผลแล้วสมควรเป็นเช่นนั้น “แต่ท่านพ่อไม่ใช่คนอื่น”

มือที่วางอยู่บนตักของฉินวั่งกุมเข้าหากัน ในใจคล้ายมีสายน้ำอุ่นไหลผ่าน หลังจากสงบอารมณ์ลงแล้วจึงเอ่ยขึ้น

“บ้านเรามาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน เรื่องขององค์ชายใหญ่ ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมาก ทว่าครึ่งปีมานี้เคยได้ยินคนเอ่ยถึงอยู่ครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นดื่มมากแล้ว พูดอย่างกำกวมบอกว่าฝ่าบาทเที่ยวเสาะหาหมอฝีมือดีไปทั่วเพื่อให้มารักษาองค์ชายใหญ่ แต่พอเขาฟื้นคืนสติแล้วก็ไม่ยอมพูดต่อแม้แต่คำเดียว แต่ข้าคาดเดาว่าองค์ชายใหญ่น่าจะป่วยแล้ว” พูดมาถึงตรงนี้ฉินวั่งก็เอ่ยว่า “อาหลิง เรื่องนี้ไม่อาจเอ่ยถึงกับคนอื่นเป็นอันขาด”

ฉินหลิงยิ้มบอก “เจ้าค่ะ ข้าจำไว้แล้ว”

หลังออกจากห้องโถงหลักมา รอยยิ้มมุมปากของฉินหลิงก็จางหายไป ทั้งร่างตกอยู่ในอาการเหม่อลอย ในสมองเหลืออยู่เพียงประโยคเดียว ‘องค์ชายใหญ่น่าจะป่วยแล้ว’

ที่แท้แล้วอวิ้นเอ๋อร์ป่วยเป็นอะไร ถึงทำให้ทั้งสำนักหมอหลวงหมดหนทางรักษา

ความคิดนี้ทำให้นางนอนไม่หลับทั้งคืน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com