ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา
ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทที่ 7-8
บทที่ 7 ประลองฝีมือการแสดง
แสงสว่างจากท้องฟ้าส่องผ่านหน้าต่างมากระทบอิฐสีเขียวอมดำ
เจียงหลันเยวี่ยลืมตาขึ้นช้าๆ เอียงหน้ามองบุรุษที่อยู่ข้างกาย
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนของฉินวั่ง เขาจะตื่นสายกว่าปกติหน่อย
เจียงหลันเยวี่ยลุกขึ้นมาเงียบๆ เดินไปนั่งที่ข้างหน้าต่าง ลูบคลำต่างหูเบาๆ อยู่หน้าคันฉ่องอย่างใจลอย ครู่หนึ่ง ฉินวั่งพลันเอ่ยปากขึ้น
“วันนี้เหตุใดเจ้าจึงตื่นเช้าเพียงนี้”
เจียงหลันเยวี่ยมือสั่น ตลับชาดตกลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตุ้บ’
นางหันหน้าไปยิ้ม “ร้านที่ประตูซีจื๋อมีปัญหาเล็กน้อย ต้องไปดูเจ้าค่ะ”
ฉินวั่งลุกขึ้นมานั่งนวดคอเล็กน้อยพลางถาม “เรื่องอะไร หนักหนาหรือไม่”
เจียงหลันเยวี่ยเดินมาถึงข้างกายสามี ปัดมือเขาออกแล้วช่วยนวดให้พลางพูดขึ้นเบาๆ
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าข้าจัดการไม่ได้ย่อมต้องเรียนให้นายท่านทราบ ไม่ง่ายกว่านายท่านจะได้หยุดพักผ่อน ยังคงพักผ่อนให้มากเถิดเจ้าค่ะ”
ฉินวั่งกุมมือนาง “เรื่องในบ้าน ลำบากเจ้าแล้ว”
เจียงหลันเยวี่ยกล่าวยิ้มๆ “ไม่ลำบากเจ้าค่ะ”
เจียงหลันเยวี่ยเพิ่งก้าวเท้าออกจากบ้านสกุลฉิน ฉินสุยจือก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องหนังสือของบ้านสกุลฉิน
ฉินวั่งถือหลักฐานปึกหนึ่งอยู่ในมือ ตัวสั่นสะท้าน จากนั้นก็โยนลงบนโต๊ะเสียงดัง ‘ปึก’ ทันที
“ฉินจื่อโย่ว เจ้าใช่เสียสติไปแล้วหรือไม่! ในสายตาของพวกเจ้าไม่ยอมรับนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ ฉินอี๋เหนียงอยู่ในครอบครัวนี้มาสิบกว่าปี นางเคยช่วงชิงอะไร!”
ฉินสุยจือมองฉินวั่งด้วยแววตาเยียบเย็น “ถ้าท่านพ่อไม่เชื่อ ก็ตามนางออกจากเมืองไปดูด้วยตาตนเองว่าวันนี้นางไปพบใคร ถ้าวันนี้ข้าใส่ความนาง รอท่านพ่อกลับมา ข้าจะขออภัยอี๋เหนียงยอมรับผิดด้วยตัวเอง”
ฉินวั่งพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เหลวไหลอย่างที่สุด!”
ฉินสุยจือมองเขาด้วยแววตาบีบคั้น “ท่านพ่อไม่เชื่อข้า หรือไม่กล้าเชื่อข้ากันแน่”
ฉินวั่งลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย กำหมัดแน่น ข้อนิ้วซีดขาวจางๆ
เขาเคาะโต๊ะอย่างแรงทีหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ช่วงเย็นย่ำ แสงสายัณห์สีแดงสาดกระจายไปทั่วท้องฟ้า
เจียงหลันเยวี่ยมือหิ้วห่อของน้อยใหญ่กลับมาถึงบ้านสกุลฉิน
ฉางโฝ่วบ่าวรับใช้ข้างกายฉินวั่งเอ่ยว่า “อี๋เหนียง เวลานี้นายท่านอยู่ที่ห้องโถงหลักด้านหน้ารอท่านอยู่ขอรับ”
เจียงหลันเยวี่ยกะพริบๆ ตาแล้วเอ่ยถาม “นี่ถึงเวลาอาหารแล้ว ไปที่โถงด้านหน้าทำอะไร”
ฉางโฝ่วยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เอ่อ…บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ”
เจียงหลันเยวี่ยเดินตามฉางโฝ่วไปทางประตูบุปผาย้อยอ้อมผ่านศาลาหลันซวี่ก็ถึงห้องโถงหลักด้านหน้า
นางเลิกคิ้ว ผลักประตูเปิดด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย
ฉินวั่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เท้าแขนไม้จันทน์แดงลายปลาคู่ ฉินสุยจือกับฉินหลิงนั่งอยู่ด้านข้างของเขา สายตาของคนทั้งสามจับนิ่งมาที่ร่างของนาง
“วันนี้ช่างประจวบเหมาะเสียจริง คุณหนูใหญ่กับคุณชายใหญ่ก็อยู่ด้วย” เจียงหลันเยวี่ยเอาอับใส่อาหารและห่อของในมือวางลงทีละอย่าง ก่อนจะยิ้มบอก “ข้าสั่งเสื้อผ้าจากร้านเมี่ยวหลันให้คุณหนูใหญ่สองชุด ไม่รู้ใส่พอดีตัวหรือไม่…” เจียงหลันเยวี่ยหยิบเสื้อผ้าเดินมาถึงข้างกายฉินหลิง “คุณหนูใหญ่เอาไปลองสวมดูเถิด ถ้าไม่พอดีจะได้รีบเอาไปแก้”
ฉินหลิงมองสบตานาง กระชากเสื้อผ้าในมือนางมาแล้วโยนไปที่พื้น
ถ้าเป็นปกติ ฉินวั่งต้องตวาดเสียงดังว่า ‘เจ้าทำอะไรรู้จักหยุดแค่พอเหมาะพอควร!’
แต่วันนี้เขาเพียงกุมที่เท้าแขนแน่น
เจียงหลันเยวี่ยก้มลงไปเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา กัดๆ ริมฝีปาก ขอบตาแดงก่ำพลางบอก “ไม่ชอบแบบกับลายหรือ หรือไม่ชอบสี ต้องตำหนิข้าที่ไม่ได้บอกให้ทราบก่อน…”
พูดมาถึงตรงนี้เจียงหลันเยวี่ยก็สูดจมูก รอฉินวั่งเอ่ยปาก
ทว่าวันนี้ในห้องนี้กลับเงียบจนทำให้คนรู้สึกหวั่นหวาด
นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ ฉินวั่งก็กดเสียงต่ำเอ่ยถามว่า “วันนี้เจ้าไปที่ใดมา”
เจียงหลันเยวี่ยคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะถามเรื่องนี้ ในดวงตามีประกายกระวนกระวายใจพาดผ่านจางๆ แต่ยังคงกล่าวเสียงนุ่มนวล
“ข้าไปที่ถนนฉางชิงก่อน จากนั้นก็ซื้อข้าวของเล็กน้อย เห็นยากนักที่คุณชายใหญ่จะกลับมาสักครั้ง จึงซื้อปูที่เขาชอบกิน ปูช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงตัวอวบอ้วน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะพอดี”
นี่คือจุดที่ปราดเปรื่องของเจียงหลันเยวี่ย
เวลาที่นางโกหกมักจะผสมคลุกเคล้ากับคำพูดที่เป็นจริง ทำให้คนยากจะแยกแยะจริงเท็จ
ฉินวั่งมองนัยน์ตาของนาง มือจับแหวนน้าวเล็กน้อยพลางเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใดวันนี้เจ้าจึงเอาเงินจากร้านที่ถนนฉางชิงไปสิบหมื่นตำลึง”
มีเรื่องจริงๆ ด้วย
เจียงหลันเยวี่ยในใจรู้ดีว่าเงินสิบหมื่นตำลึงไม่อาจปิดบังได้ จึงคิดหาเหตุผลไว้แต่แรกแล้ว
นางพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าคิดอยู่ว่าคุณหนูใหญ่รูปงามไม่มีใครเทียม ภายนอกงดงามภายในเฉลียวฉลาด จะต้องถูกคัดเลือกเข้าวังแน่นอน แต่วังหลวงไม่เหมือนอยู่บ้าน ทุกหนแห่งล้วนต้องใช้เงิน ข้าได้ไปสั่งไข่มุกทะเลใต้กับหลงจู๊ร้านจินอวี้ไว้จำนวนหนึ่ง…”
“พอแล้ว!” ฉินวั่งถลึงตา ชี้ไปที่ห่อผ้าสีครามที่ข้างเท้าเจียงหลันเยวี่ย “ไข่มุกทะเลใต้อะไร! เจ้าบอกข้ามา นั่นคืออะไร!”
เจียงหลันเยวี่ยร่างชะงักค้าง ราวกับถูกหินก้อนโตทุ่มมาถูก แต่นางยังคงปากแข็ง
“นี่เป็นเครื่องประทินโฉมที่ข้าซื้อมา”
ฉินวั่งแหงนหน้าส่งเสียง “หึ” ออกมาคำหนึ่ง เสียงนี้ก็ไม่รู้ว่าร้องไห้หรือหัวเราะ
เครื่องประทินโฉม ดี ดียิ่งนัก
วันนี้เขาขี่ม้าเร็วออกจากเมือง บอกกับตัวเองตลอดเวลาว่านั่นเป็นเพียงการเข้าใจผิด เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น แต่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเขาก็เห็นนางแอบนัดพบกับจูเจ๋อ
นางเอาเงินสิบหมื่นตำลึงให้จูเจ๋อ จูเจ๋อก็มอบห่อผ้าสีครามห่อนี้ให้กับนาง
ตอนเห็นฉากนั้น ฉินวั่งก็ขนลุกชันไปทั้งร่างแล้ว
คนข้างหมอนที่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี เขาถึงกับไม่เข้าใจนางแม้แต่น้อย
ฉินวั่งเดินเร็วๆ ไปถึงข้างกายเจียงหลันเยวี่ย เปิดห่อผ้าออก จดหมายยี่สิบแปดฉบับร่วงพรวดออกมาทั้งหมด
จดหมายยี่สิบแปดฉบับนี้ไม่เพียงสามารถทำลายเส้นทางขุนนางของเขา ยังสามารถเอาชีวิตของบุตรสาวเขาได้อีกด้วย
ฉินวั่งยื่นนิ้วชี้อย่างสั่นเทาไปที่จดหมายเหล่านี้ “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก”
เจียงหลันเยวี่ยพลันตระหนักได้
มิน่าเล่าวันนี้ใบหน้าจูเจ๋อมีบาดแผล มิน่าเล่าวันนี้เขาถึงได้พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่มีท่าทีละโมบเช่นที่ผ่านมาให้เห็น
ที่แท้วันนี้ก็เป็นงานเลี้ยงหงเหมิน
ชั่วขณะนี้เจียงหลันเยวี่ยกำลังครุ่นคิดว่านางควรโต้แย้งต่อไป หรือควรก้มศีรษะขอการอภัยให้
ถ้าพวกเขามีหลักฐานอยู่ในมือแล้ว การเถียงข้างๆ คูๆ รังแต่จะทำให้นางหาเรื่องอัปยศอดสูใส่ตัวเอง หลังจากพินิจพิจารณาแล้ว นางก็เลือกอย่างหลัง
จะอย่างไรฉินวั่งผู้นี้แต่ไรมาก็ชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง ขอเพียงเขาเชื่อว่าที่นางทำไปทั้งหมดก็เพื่อบุตรสาว ไม่มีจิตใจที่จะทำร้ายบ้านสกุลฉินก็พอ