ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา
ทดลองอ่าน ตกรางวัลอย่างงามให้การแสดงของพระชายา บทที่ 7-8
บทที่ 8 เข้าวังหลวง
คืนก่อนเข้าวัง ฉินหลิงกับซื่อเยวี่ยนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่ศาลาหลันซวี่
ลานบ้านเงียบเหงาอ้างว้าง สายลมพัดผ่านค่อนข้างหนาวเย็น ฉินหลิงกระชับเสื้อคลุมบนตัวแล้วเอ่ยถาม
“หลังจากวันพรุ่งนี้ แม่นางซื่อจะไปที่ใดหรือ”
“ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ” ซื่อเยวี่ยวางถ้วยชาในมือแล้วยิ้ม “น่าจะไปเที่ยวเล่นที่เจียงหนานกระมัง”
ฉินหลิงก้มหน้าหยิบตั๋วแลกเงินหลายใบออกมาจากในแขนเสื้อ วางลงในมือนาง
หลังจากซื่อเยวี่ยมองเห็นชัดเจนก็รีบบอกปฏิเสธ “คุณหนูฉินให้ข้ามามากพอแล้ว เงินนี่ข้าละอายใจที่จะรับไว้ ไม่อาจรับไว้อีกแล้ว”
“สำหรับข้าแล้ว แม่นางซื่อเป็นทั้งอาจารย์และเป็นทั้งสหาย จะละอายใจที่จะรับไว้ได้อย่างไร พรุ่งนี้แยกจากกันแล้ว ชีวิตนี้เจ้าข้าก็ยากจะได้พบกันอีก ถ้าเจ้าเห็นข้าเป็นสหายรู้ใจก็รับไว้เถิด” ฉินหลิงยิ้มกว้างแล้วเอ่ยเสริม “เงินแม้จะดูเป็นของพื้นๆ ไปสักหน่อย แต่กลับใช้ประโยชน์จริงได้มากที่สุด ไม่ผิดกระมัง”
ซื่อเยวี่ยปลายจมูกแสบร้อน
นางปีนี้อายุยี่สิบ เคยถูกขายมาทั้งหมดสี่ครั้ง เงินที่ทุ่มมาที่ตัวนางมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ที่ตกถึงมือนางมีเพียงปิ่นปักผมที่หลอกให้คนดีใจไม่กี่อันเท่านั้น
นางมีบทละครงิ้วที่ร้องไม่หมด มีหนี้ที่ใช้ไม่หมด และมีแขกที่รับรองไม่หมด
ไม่เคยคิดเลยว่ายังสามารถเป็นสหายรู้ใจของฉินหลิง หญิงสาวสูงศักดิ์เช่นนี้ได้
ผ่านไปพักใหญ่ซื่อเยวี่ยจึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ “คุณหนูวางใจ เรื่องทุกอย่างในบ้านสกุลฉิน ชั่วชีวิตนี้ซื่อเยวี่ยจะไม่เอ่ยกับใคร ทางหอชิ่งเฟิง คุณหนูก็ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ขอบคุณมาก” ฉินหลิงก้มหน้า เอ่ยขึ้นเบาๆ
วันที่สิบหกเดือนเก้า รัชศกเหยียนซีปีที่สี่
ท้องฟ้าใกล้สว่าง เหล่าหญิงงามที่เข้าร่วมการคัดเลือกนั่งรถเทียมล่อทยอยมาถึงประตูเสินอู่
แม้ฉินหลิงจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าปีนี้หญิงงามที่เข้าร่วมการคัดเลือกมีจำนวนมาก แต่พอมายืนอยู่ที่นี่จริง เห็นหญิงงามแต่งตัวสวยสดงดงามยืนหัวดำไปหมด ยังคงอดหายใจสะดุดติดขัดไม่ได้
รูปร่างสตรีแต่ละนางอ้วนผอมแตกต่างกันไป ล้วนแล้วแต่มีข้อดีของตน ทำเอาทัศนียภาพงดงามโดยรอบจืดชืดไปถนัดตา
เหล่าหญิงงามเดินเป็นแถวยาวเหยียดเข้าประตูเสินอู่มาถึงอุทยานหลวง
เสียงหัวเราะดังไม่ขาดหู ผู้ควบคุมดูแลของสิบสองสำนักกำลังรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เพียงได้ยินโจวหยางขันทีหัวหน้าสำนักกิจการฝ่ายในโก่งคอพูด
“คนมาครบหรือยัง ประตูวังปิดแล้วหรือ”
ขันทีน้อยเยาว์วัยค้อมตัวบอก “เรียนกงกง คนมาครบแล้ว ประตูวังวันนี้ก็ลงดาลแต่หัววันแล้วขอรับ”
“อืม…” โจวกงกงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ที่ข้าสอนเจ้าเมื่อวาน ยังจำได้หรือไม่”
“จำได้แน่นอนขอรับ ประเดี๋ยวให้พิจารณาดูหญิงงาม ที่สูงไป เตี้ยไป อ้วนไป ผอมไป พูดจาไม่ชัดเจน ให้ประคองออกไปให้หมด”
โจวกงกงถามขึ้นอีก “ประคองออกไปเท่าไร”
ขันทีตอบ “สามพันคนขอรับ”
โจวกงกงยกปลายคางขึ้น พูดด้วยความพึงพอใจ “ไปเถิด”
ขันทีนับร้อยคนเดินไปที่อุทยานหลวง
หญิงงามทุกคนล้วนต้องถูกพวกเขามองประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ยามเที่ยง แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องอยู่บนท้องฟ้าสูง
ฉินหลิงมองผู้คนตรงหน้าที่เปลี่ยนเป็นบางตาลง
หญิงงามที่ประคองออกไปมีมากกว่าที่เหลืออยู่ บางคนที่ไม่อยากอยู่ในวัง สีหน้าดูเบิกบานใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีบางคนที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากส่งเสียงร้องไห้โฮออกมา
ชั่วขณะนั้นขันทีหนุ่มคนหนึ่งก็เดินมาถึงข้างกายฉินหลิง เดินวนรอบตัวนางไปรอบหนึ่ง
ฉินหลิงสวมกระโปรงผ้าต่วนสีปะการังยาวระพื้นที่ซื่อเยวี่ยตัดเย็บด้วยตัวเอง เกล้ามวยสูง บนมวยผมเสียบปิ่นทองรูปก้อนเมฆประดับทับทิมคู่หนึ่ง การแต่งตัวเช่นนี้ทั้งสามารถขับดุนช่วงวัยที่งดงามที่สุด ยังสามารถเผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวและลำคอขาวผ่องนวลเนียนดุจหิมะออกมาอย่างวับๆ แวมๆ
มองดูเหมือนเรียบง่าย กลับแฝงไว้ด้วยกลอุบายอย่างเต็มเปี่ยม
ขันทีน้อยก้มหน้ามองสมุดในมือแวบหนึ่ง “แม่นางคือ…”
ฉินหลิงพูดช้าๆ ทีละคำ “บุตรสาวฉินไท่สื่อ ฉินหลิง”
ขันทีน้อยเห็นนางหัวคิ้วนัยน์ตาดุจภาพวาด พูดจาสุภาพชัดถ้อยชัดคำ ส่วนสูงรูปร่างเหมาะสมดีเยี่ยม ไม่มีที่ให้ติ จึงก้มหน้าเขียนคำว่า ‘จย่า’* ลงไป
ผ่านจุดนี้ก็เท่ากับว่าผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว
หลังจากการคัดเลือกรอบแรก ถัดไปอีกสองวันจึงเป็นการคัดเลือกรอบสอง
การคัดเลือกรอบสองซับซ้อนกว่าการคัดเลือกรอบแรกมาก อธิบายอย่างง่ายก็คือการคัดเลือกรอบแรกตรวจสอบหู ตา ปาก จมูก เส้นผม ผิวพรรณ ลำคอ ไหล่ หลัง รวมทั้งความชัดเจนของเสียง ส่วนการคัดเลือกรอบสองต้องทดสอบเรื่องความหยาบหนาละเอียดของข้อมือ ความสั้นยาว ความโค้งของเท้า สีสัน และจุดเล็กน้อยอื่นๆ
ขอเพียงมีจุดใดที่ไม่งดงามก็จะถูกขันทีประคองออกไป
ภายใต้การคัดกรองอย่างละเอียดเข้มงวดเช่นนี้ คนกว่าห้าพันคนพริบตาเดียวก็จะเหลือเพียงเก้าร้อยคนแล้ว
วันที่สาม
ท้องฟ้าสว่างขึ้นอีกครั้ง
เหล่าข้ารับใช้ในวังถือโคมชาววังทรงสี่เหลี่ยม เดินลงบันไดสูงใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง พาหญิงงามแต่ละนางเข้าไปในห้องลับ
ห้องลับแต่ละห้องมีนางกำนัลสูงวัยสองคนรออยู่ข้างในแล้ว
ฉินหลิงยืนอยู่นอกห้องลับ อดที่จะถอนหายใจไม่ได้
ตำหนักในกับราชสำนักล้วนเป็นสถานที่ที่น้ำใสเกินไปปลามิอาจอยู่รอด ขอเพียงฮ่องเต้ยังไม่ได้พยักหน้าให้คนอยู่ บรรดาหญิงงามก็อาจถูกคนขัดแข้งขัดขากลั่นแกล้งได้ทุกเมื่อ
รูปโฉมปานกลาง หรืองามดุจเทพธิดา ล้วนขึ้นอยู่กับพริบตาที่นางกำนัลสูงวัยขยับพู่กันเขียนลงไป
ฉินหลิงพอเข้าไปในห้องลับก็ได้ยินนางกำนัลสูงวัยคนหนึ่งบอก “เชิญแม่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด”
ฉินหลิงยกแขนทั้งสองข้างขึ้น ช่วงจังหวะหมุนข้อมือก็ยัดหยกขาวมันแพะชั้นหนึ่งสองชิ้นเข้าไปในแขนเสื้อของพวกนาง
ในวังล้วนแต่เป็นพวกเปี่ยมไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ พอน้ำหนักตกลงไป ปรายตามองแวบเดียว ปลายนิ้วลูบผ่านเนื้อหยกก็พอคาดเดามูลค่าได้แล้ว
นางกำนัลสูงวัยทั้งสองยกมุมปากยิ้มทันที
จากนั้นก็ตรวจหน้าอก ดมกลิ่นรักแร้ เฟ้นคลึงดูริ้วรอย เหล่านี้จึงจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกหญิงงาม
นางกำนัลสูงวัยสองคนลูบคลำเนื้อตัวนางจากล่างขึ้นบน
ขณะที่ฉินหลิงหลับตาลงแล้วกัดฟัน อดทนไว้
ฝ่ามือสอดมาจากด้านหลังผ่านใต้รักแร้ ชั่งน้ำหนักด้วยมือ เห็นน้ำหนักนี้อยู่ในขั้นดีเยี่ยม นางกำนัลสูงวัยก็อดกล่าวไม่ได้
“รูปโฉมของแม่นางนับว่างามที่สุดที่ข้าพบเจอมาในวันนี้ โชควาสนาย่อมรออยู่ในภายหลัง”
นางกำนัลสูงวัยคนหนึ่งถือพู่กัน อีกคนหนึ่งเริ่มพูด “บุตรสาวสกุลฉิน ฉินหลิง อายุสิบหก รูปร่างสูงโปร่งอวบอิ่ม ผิวขาวดุจหยก คิ้วงามฟันขาว ปากแดงดุจลูกท้อ ไม่เป็นแผลไม่มีฝีหนอง ไม่มีจุดด่างดำและโรคอื่นๆ อยู่ในขั้นจย่า”
ฉินหลิงได้ตัวอักษร ‘จย่า’ อีกตัวหนึ่ง
ผ่านด่านรูปร่างหน้าตาแล้ว ยังมีคนทดสอบการคัดอักษรวิจารณ์บทกวีศิลปะฝีมือต่างๆ โดยเฉพาะ
หลังจากทดสอบด้านศิลปะ ห้าพันคนก็เปลี่ยนเป็นสามร้อยคน
คนที่สามารถอยู่ต่อได้ ถ้าไม่ใช่สตรีในวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ของราชวงศ์ต้าโจว ก็เป็นหญิงที่มีรูปโฉมงามเพริศพริ้งเหนือผู้คน
ทว่าที่ได้อักษร ‘จย่า’ สองตัวมีเพียงสิบคนเท่านั้น
ตามกฎระเบียบของต้าโจว สามร้อยคนที่ ‘ผ่านด่านเอาชนะคู่ต่อสู้’ มาได้ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักฉู่ซิ่วในคืนนั้น
สี่คนต่อหนึ่งห้องพัก