ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 127-129
บทที่ 129
ในตำหนักใหญ่มีคนอยู่เต็มแล้ว ฮ่องเต้อยู่ในฉลองพระองค์มังกร ดูกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ
เขาหันมาเห็นเหยียนเจวี๋ยท่ามกลางฝูงชนได้ในแวบเดียว ก่อนจะเอ่ยเรียกด้วยความยินดี “เจวี๋ยเอ๋อร์ ข้าได้ยินว่านิมิตมงคลนี้เป็นเจ้าหาพบหรือ”
เหยียนเจวี๋ยส่ายหน้าอย่างสุขุมเยือกเย็น “เกรงว่าข่าวคงจะผิดพลาดพ่ะย่ะค่ะ เป็นหมู่บ้านของคหบดีต่งปรากฏนิมิตมงคล ขณะที่ข้าไปดูหัวหน้าสำนักซ่งแห่งสำนักดาราศาสตร์หลวงก็ได้อยู่ที่นั่นแล้ว”
ไม่เพียงฮ่องเต้ แต่บรรดาขุนนางใหญ่โดยรอบก็ล้วนเริ่มพินิจมองเหยียนเจวี๋ยด้วยความแปลกใจ
หากเป็นเมื่อก่อนคุณชายเหยียนผู้นี้ต้องรีบโกยความดีความชอบใส่ตัว เช่นว่า ‘แม่ไก่ในวังนี้ออกไข่ นั่นเป็นเพราะความดีความชอบจากบารมีของข้าคุณชายเหยียนปกคลุมอย่างไรเล่า’
หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องคุยโวว่า ‘ถ้าเป็นข้าเหยียนเจวี๋ยค้นพบจะต้องสร้างแท่นทองล้อมรอบบริเวณสิบหลี่นั้นไว้ แล้วนำพลั่วหยกขุดมาให้ฝ่าบาทได้ทรงประจักษ์ต่อการกำเนิดของนิมิตมงคลด้วยพระเนตรพระองค์เองอย่างแน่นอน!’
เหยียนเจวี๋ยยังไม่ทันพูดอะไร ในสมองพวกเขาก็คล้ายว่ามีเสียงดังเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว
เป็นน้ำเสียงไม่เอาไหนสามส่วน อวดดีห้าส่วน เป็นกิริยาท่าทางไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอันมีอยู่เพียงในตัวทายาทรุ่นที่สอง
ทว่ายามนี้ลูกผู้สูงศักดิ์อย่างเหยียนเจวี๋ยถึงกับยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเหมือนคนปกติแล้ว
คุณชายเหยียน เจ้าช่วยกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้หรือไม่ ท่าทางเป็นงานเป็นการของเจ้าน่าสยองยิ่งนัก!
ทุกคนรู้สึกอยู่ตลอดว่าเหมือนเขาต้องการซ่อนกระบวนท่าใหญ่ไว้ จากนั้นก็จะแกล้งให้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักต้องหมอบราบคาบ
ฮ่องเต้มองไปที่เหยียนเจวี๋ย อารมณ์ค่อนข้างซับซ้อน เรื่องยั่วโทสะคนทั้งหลายพรรค์นั้นตอนยังเล็กเหยียนเจวี๋ยใช่จะไม่เคยทำ ยามนั้นเหยียนเจวี๋ยยังอยู่ในวัง เหล่าขุนนางที่มาเข้าประชุมเช้ายังท้องพระโรงจะกินอาหารเช้ากันในวัง
แม้ว่าอาหารเช้านั้นจะน้อยนิด เทียบกับปริมาณหลายหลากที่พวกเขากินในที่ทำงานไม่ติด แต่ก็เป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้
ทว่าบัดนี้ไม่มีใครพูดถึงอาหารเช้านี้มาหลายปีแล้ว เนื่องมาจากในตอนโน้นไม่รู้เหยียนเจวี๋ยใส่อะไรลงไปในหม้อโจ๊ก ทำเอาขุนนางทั้งราชสำนักล้มป่วยมาประชุมไม่ได้ถึงสามวันเต็มๆ
แม้จะเป็นเรื่องใหญ่ปานนี้ฮ่องเต้ก็ยังปล่อยผ่านไปง่ายๆ ตามใจจนคนที่เกะกะระรานอยู่เป็นทุนเดิมผู้นี้ยิ่งกำเริบเสิบสานหนักกว่าเก่า
ยังดีที่ฟ้ามีตา เด็กผู้นี้พอโตขึ้นก็เป็นพวกบ้าตัณหา ไปหมกมุ่นอยู่แต่กับพวกนางระบำ อีกทั้งพวกนกพวกจิ้งหรีด แม้แต่ประตูใหญ่ท้องพระโรงตั้งอยู่ทางใดก็ลืมไปสิ้นแล้ว
ทว่าเงามืดที่เหยียนเจวี๋ยทิ้งไว้ให้ในตอนนั้นก็ยังคงทำให้คนเสียวสันหลัง สองขาอ่อนยวบ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! อา นี่เป็นมังกร! ท่านใดคือคหบดีต่ง ออกมาคุยกับเราที”
ระหว่างที่สนทนานิมิตมงคลนั้นก็ถูกคนหามเข้ามาแล้ว บนรากไม้รูปมังกรยักษ์ที่มีสีเขียวทั้งรากเป็นมันขลับถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีแดง ดูเหมือนเป็นชุดที่แม่สื่อสวม ดูบาดตาอย่างยิ่ง
ชายอ้วนตัวขาวที่ก่อนหน้านี้ยังกระโดดโลดเต้นอย่างชื่นมื่นยามนี้ตัวสั่นงันงก เหงื่อออกท่วมตัว เขาอ้าปากพะงาบ ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวก็ตาเหลือก ตื่นเต้นจนลมจับไปแล้ว
ฮ่องเต้รู้สึกอึ้งงันอยู่บ้าง คนทั้งหลายในท้องพระโรงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไทเฮามองเห็นภาพนี้ก็หลุดขำออกมา “เป็นคนขี้ขลาดไปเสียได้ หากข้ามองมิผิด นี่เป็นรากของต้นไหวแก่ รูปร่างหน้าตาเหมือนกับมังกรมิมีผิด! ส่วนบนของรากนี้ถึงกับมีใบเขียวงอกออกมาแล้ว”
ไทเฮาให้ข้อสรุปต่อนิมิตมงคลนี้แล้ว คนทั้งหลายจึงสบายใจขึ้นทันที
หัวหน้าสำนักซ่งที่คุ้มกันนิมิตมงคลมาส่งให้รู้สึกโล่งอก ยิ้มพลางกราบทูลตอบว่า “ไทเฮามีสายพระเนตรแหลมคม นี่เป็นต้นไหวแก่อายุเป็นร้อยๆ ปี เมื่อปีกลายไม่รู้อย่างไรจู่ๆ ก็เฉาตายไป วันนี้ในหมู่บ้านของสกุลต่งไถดินกัน กลับค้นพบว่าต้นไหวแก่นี้กลายมามีรูปร่างเช่นมังกร ซ้ำยังกลับมามีชีวิต นี่เป็นลางมงคล บ่งบอกว่าความรุ่งเรืองจะมาเยือนอีกครั้ง กระหม่อมขอแสดงความยินดีแด่ฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
มีหัวหน้าสำนักซ่งเป็นผู้นำ คนทั้งหมดในท้องพระโรงจึงล้วนเปล่งเสียงขึ้นตาม
เฉินวั่งซูก้มหน้า อ้าปากพะงาบตามน้ำไปกับคนทั้งหลาย และเริ่มมองดูสีหน้าของคนทั้งหลายอย่างมีความสุข
ไทเฮาแก่แล้ว สายตาฝ้าฟาง ทั้งยังนั่งอย่างทึกทักเอาเองว่าเป็นการสำรวมอยู่ไกลถึงเพียงนั้น จะมองเห็นเพียงมังกรเขียวก็ไม่น่าแปลกใจ ทว่าฝ่าบาทกับอัครมหาเสนาบดีเกาที่อยู่ใกล้กลับมีสีหน้ามากมายหลายหลาก โดยเฉพาะองค์ชายสามที่ก่อนหน้านี้มีเรื่องหนักใจหลายเรื่อง แล้วยังมาเห็นเจ้าสิ่งนี้อีก
จิ๊ๆ เป็นดั่งดอกผูกงอิงที่ยุ่งเหยิงท่ามกลางสายลม* จะถูกผู้คนเป่าจนปลิวแล้วเลยทีเดียว
เมื่อไปดูใกล้ๆ ก็ชัดเจนมิมีใดเกิน มังกรเหลืองตัวน้อยที่เกาะอยู่บนหลังมังกรเขียวนั้นแม้จะแห้งเหี่ยวแล้ว แต่ยังคงกัดตรงจุดตายของมังกรเขียวไว้ไม่ปล่อย เมื่อพิจารณารวมกับเวลาก็พบว่าเรื่องนี้มีนัยอะไรอยู่
ขอเพียงเป็นผู้ทราบเบื้องลึกเบื้องหลัง ร้อยทั้งร้อยสามารถคิดเชื่อมโยงได้ทั้งนั้น
ฮ่องเต้ถึงกับคิ้วกระตุก
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “นั่นคืออะไร ไฉนรากต้นไหวยังออกดอกด้วย”
เฉินวั่งซูมองหาไปตามเสียง ผู้ที่พูดเป็นสตรีอายุราวยี่สิบปีนางหนึ่ง สวมกระโปรงยาวสีชมพูดอกไห่ถังปักลายทอง บนศีรษะประดับกระโถนทอง…
แค่กๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ ‘กระโถน’ แต่เป็นเกี้ยวทองที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกระโถนปัสสาวะอย่างมาก
เฉินวั่งซูมองดูอยู่ชั่วครู่หนึ่งด้วยสายตาเหยียดหยาม พระสนมที่มีรสนิยมพรรค์นี้ยังเป็นที่โปรดปรานได้ แคว้นต้าเฉินไม่ล่มจม แคว้นใดจะล่มจมเล่า
หัวหน้าสำนักซ่งเหลือบมองดอกไม้น้อยนั้นแวบหนึ่ง เชิดคางขึ้นด้วยท่าทางภูมิใจ ก่อนจะเริ่มร่ายบทสอพลอที่เตรียมมาไว้นานแล้ว “ฝ่าบาท สาเหตุที่นิมิตมงคลเป็นนิมิตมงคลนั้นไม่ใช่เพียงเพราะเผ่าพันธุ์มังกรกลับมารุ่งเรือง แต่ยังมีสวรรค์ส่งผู้มีความสามารถมาช่วยเหลือ! ดังคำกล่าวที่ว่าฮ่องเต้ผู้ปรีชาย่อมมีขุนนางผู้ปราดเปรื่อง รากของต้นไหวนี้ตามปกติจะมีใบงอก จะมีดอกออกได้เช่นไร บัดนี้บุปผาน้อยนี้ซ่อนตัวอยู่กลางมังกรเขียวคล้ายว่าคอยให้การปกป้อง ความหมายคือยอมรับผู้เป็นนาย หกดอกอยู่เคียงกัน รูปร่างประดุจจันทร์ครึ่งดวง กระหม่อมเปิดอ่านตำรา มั่นใจว่านี่ก็คือกลุ่มดาวเหวินชาง* ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ จะทรงหาผู้มีความสามารถมาได้แล้ว!”
คนในตำหนักต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินข่าวเรื่องมังกรเขียวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องดอกไม้นี้
หัวหน้าสำนักซ่งอายุไม่น้อยแล้ว แม้จะชอบประจบสอพลอ แต่เป็นหัวหน้าสำนักดาราศาสตร์หลวงมาหลายปี กับแค่ดาวเหวินชางคงไม่ถึงขนาดดูผิด
ขอเพียงเป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาเล่าเรียนย่อมจะมีความรู้ด้านศาสตร์การเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้าอยู่บ้าง ถึงหัวหน้าสำนักซ่งต้องการหลอกคนก็หลอกไม่ได้
คนไม่น้อยคิดแล้วก็ก้าวเท้าไปมุงดู ‘นิมิตมงคล’ นั่นใกล้ขึ้น
เฉินวั่งซูมองชายอ้วนตัวขาวแซ่ต่งที่ยังนอนนิ่งไม่ฟื้นอยู่บนพื้น รู้สึกเจ็บแทนเขาเสียจริงๆ
บัณฑิตแห่งแคว้นต้าเฉินนี้จุดตะเกียงอ่านหนังสือกันจนมีไม่น้อยที่มีอาการตาลาย ซ้ำยังมีพวกที่ไม่รู้จักกาลเทศะก็ดันอายุสั้นไปก่อนด้วย
ดีไม่ดีจวบจนเกษียณกลับบ้านเดิมแล้ว แม้จะประชุมในท้องพระโรงตอนเช้ามาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยมองเห็นชัดเลยว่าฮ่องเต้มีหน้าตาเป็นอย่างไร เช่นนี้แก่ตัวไปแล้วควรเอาไปคุยอวดอย่างไร บอกว่าตอนข้าหนุ่มๆ เคยเห็นฮ่องเต้ เขามีหน้าตาประดุจเทพเซียนหรือ
นั่นเป็นเทพเซียนอะไร เป็นขุนพลแหวกม่าน** จูปาเจี้ย หรือว่าเป็นฉีเทียนต้าเซิ่ง*** ซุนอู้คง
หรือจะพูดว่า ‘ขอโทษที มองไม่ชัด’
คนตาบอดทั้งโขยงรุมล้อมนิมิตมงคล เหยียบถูกชายอ้วนตัวขาวแซ่ต่งเป็นระยะ ชายอ้วนตัวขาวผู้นั้นไม่เหมือนว่าตกใจหมดสติไป แต่เหมือนหมีจำศีลมากกว่า ถึงกับไร้การรับรู้ นอนแน่นิ่งไม่แม้แต่จะไหวติง
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็เขย่งเท้ามองไปที่ดอกไม้นั้น…เหมือนดอกไม้ของแท้จริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเหยียนเจวี๋ยปลอมออกมาได้อย่างไร สิ่งนี้ถึงกับคล้ายว่างอกออกมาจากรากต้นไหวแก่จริงๆ ก็มิปาน
ปราศจากร่องรอยตัดแต่งไม่ต่างจากมังกรที่ว่านี้ เป็น ‘นิมิตมงคล’ อย่างแท้จริง!
ทว่าคนผู้นี้เปลืองแรงไปหมดแล้วยังจะโยงไปถึงเรื่องดาวเหวินชางอีกด้วยเหตุใด…
ในฉับพลันนั้นเองสมองเฉินวั่งซูพลันมีแสงสว่างวาบ เข้าใจแผนการของเหยียนเจวี๋ยในทันที
ทว่าน้องชาย เด็กไม่ตั้งใจเรียนอย่างท่านจะประเมินตนเองสูงเกินไปแล้วหรือไม่!
เรียนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแล้ว ก็คิดว่าตนเองจะได้รางวัลอันดับหนึ่งในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกแล้วหรือ!
ในเวลานี้เองก็พลันมีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากในกลุ่มคนและเปล่งเสียงดังว่า “ขอแสดงความยินดีแด่ฝ่าบาท นี่เป็นบุญของแคว้นต้าเฉิน! กระหม่อมขอบังอาจกราบทูลขอให้ฝ่าบาททรงจัดสอบเคอจวี่รอบพิเศษเพื่อเฟ้นหาดาวเหวินชางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.