ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 136-138
บทที่ 138
เฉินวั่งซูได้ยินเสียงนี้ก็ตัวสั่น บทงิ้วจ้วงหยวนหญิงสะท้อนก้องในสมอง
หรือว่าแคว้นต้าเฉินนี้จะมีสตรีเป็นขุนนางด้วย
เสียงนี้อ่อนหวานเพราะพริ้งประดุจนกเยี่ยอิงใสเสนาะยิ่งกว่านกขมิ้น น่าฟังยิ่งกว่านกกระจิบนกกระจอก แม้แต่แม่นางถีหูที่ฝ่าบาทโปรดที่สุดยามร้องเพลงก็ยังไม่น่าฟังเท่านี้
เฉินวั่งซูหันหน้าไปมองก็เห็นเพียงคนทั้งหมดล้วนจับจ้องไปยังบุรุษที่ยืนอยู่ข้างประตู เขาดูเป็นคนหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้า ผิวพรรณของเขาขาวเหมือนหิมะ ริมฝีปากสีม่วงเหมือนองุ่น ดวงตาทั้งสองเหมือนเหยี่ยวที่โผบินบนท้องฟ้า
เขาไม่เหมือนสโนว์ไวท์ กลับเหมือนเป็นมารดาเลี้ยงของสโนว์ไวท์
แม้จะน่ามอง แต่พอมองก็ดูไม่เหมือนคนดี ยากที่จะเชื่อได้ว่าเสียงที่น่าฟังปานนั้นเปล่งออกมาจากปากของคนผู้นี้
เหยียนเจวี๋ยสังเกตเห็นสายตาของเฉินวั่งซูก็กระเถิบมาใกล้อย่างเงียบเชียบ “ต่งหลีเป็นปั่งเหยี่ยนในการสอบครั้งก่อน ขณะสอบได้จิ้นซื่ออายุเพิ่งจะสิบหก เป็นบุคคลทรงความรู้ความสามารถที่หาตัวจับยากแห่งยุค ต่งเฉิงบิดาของเขาสมัยก่อนก็เป็นผู้ตรวจการ ต่อมามีครั้งหนึ่งออกนอกเมืองแล้วหายสาบสูญไป”
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้จักเขา?”
คราวนี้ถึงตาเหยียนเจวี๋ยประหลาดใจบ้างแล้ว “เจ้าไม่รู้จักเขา? เขากับฉางเยี่ยนพี่ชายเจ้าเป็นสหายสนิทกัน”
เหยียนเจวี๋ยพูดแล้วเสียงก็ติดจะคับข้องใจ “ตอนแรกที่เจ้าถอนหมั้น พี่ชายเจ้ายังตั้งใจจะให้ต่งหลีแต่งงานกับเจ้าด้วย!”
คราวนี้เฉินวั่งซูคึกคักขึ้นมาแล้ว พินิจพิเคราะห์ดูต่งหลีผู้นั้นขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่ง เขารูปร่างสูงโปร่ง ยิ่งมีสองขาที่ยาวเหยียด เมื่อยืนอยู่ในโถงพร้อมกับตาแก่โขยงหนึ่งเอวก็เท่ากับอกของผู้อื่นเลยทีเดียว
เหยียนเจวี๋ยเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็แทบอยากจะตบหน้าตนเอง ใครใช้ให้เจ้าปากมาก!
เขาคิดแล้วก็เหยียดขาออกไปเงียบๆ
เฉินวั่งซูรู้สึกว่าเท้าถูกเบียดก็มองไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านเหยียดขามาทำอะไร”
เหยียนเจวี๋ยทุบขาตนเอง “ขายาวเกินไป ก่อนหน้านี้งออยู่ตลอด ชาหมดแล้ว”
เฉินวั่งซูมุมปากกระตุก ไฉนก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยเห็นท่านขาชาเลย!
“ริมฝีปากเขาม่วงเกินไป จนข้านึกว่าเขาถูกพิษเข้าแล้ว อดไม่ได้ที่จะอยากใช้พิษสู้พิษ!”
เหยียนเจวี๋ยหวิดจะกลั้นไม่อยู่ หากมิใช่ยามนี้ไม่เหมาะกับการหัวเราะดังๆ เขาคงจะเท้าเอวหัวเราะออกมาแล้ว
“ผู้ตรวจการต่งมีเรื่องใดต้องการกราบทูล หากมิใช่เรื่องสำคัญ ค่อยกราบทูลที่ท้องพระโรงในเช้าวันพรุ่งก็ยังไม่สาย”
ฮ่องเต้กล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น ความหมายนอกวาจานั้นก็คือ ‘อย่าไม่รู้กาลเทศะ ข้าเพียงอยากอาศัยเรื่องนิมิตมงคลเพื่อฟังคนประจบสอพลอ! แต่กลับมีคนไม่รู้กาลเทศะมากขนาดนี้กระโดดออกมาไม่ขาดสาย อาหารยังชืดหมดแล้ว!’
ต่งหลีกลับกล่าวออกไปประหนึ่งหูหนวกตาบอดก็มิปาน “กระหม่อมต่งหลีขอกราบทูลฟ้องเรื่ององค์ชายสามลักลอบเปิดเหมือง การค้าเกลือเถื่อนมีหลักฐานแน่ชัด อีกทั้งอาศัยเรื่องการขนส่งเกลือเถื่อนฟอกทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามตกใจ กระโดดออกมาทันที “ต่งหลี นี่เจ้ากำลังพูดเอาใจมวลชน! เรื่องเกลือเถื่อนอะไร สี่หลิงได้บอกแล้วว่านางไม่รู้อะไรทั้งสิ้น”
เฉินวั่งซูมองเฉินสี่หลิงเล็กน้อย เห็นเพียงมือของอีกฝ่ายกำชายกระโปรงแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งก็คลายออก
แม้เสียงต่งหลีจะอ่อนหวาน แต่ยามกล่าววาจากลับมีพลัง ค่อนข้างดังกังวาน
“ผู้ตรวจการกำลังกราบทูลความผิดขุนนาง องค์ชายสามมิทรงมีสิทธิ์ขัดจังหวะตามอำเภอใจ โปรดทรงระวังกิริยาวาจาด้วย ในเมื่อผู้แซ่ต่งกล้ากราบทูลฟ้องก็แสดงว่ามีหลักฐานเป็นอันจริง หากผู้แซ่ต่งกราบทูลจบ องค์ชายสามยังทรงมีแรงคัดค้าน ค่อยตรัสก็ยังมิสาย มีฐานะเป็นองค์ชาย กลับทรงเป็นเดือดเป็นร้อนจนเสียกิริยา มิบังควรโดยแท้”
องค์ชายสามชะงักงัน อ้าปากพะงาบ ยังอยากจะพูด
ต่งหลีกลับล้วงหลักฐานออกมาโดยไม่แยแสคำพูดและอารมณ์ของเขาโดยสิ้นเชิง ไม่ต่างจากที่ปฏิบัติต่อฝ่าบาท เขาล้วงภาพม้วนหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อก่อนชี้ “ที่แห่งนี้มีชื่อว่าเขาผิงซาน อยู่ที่เมืองหลินอันนี่เอง เขาผิงซานนี้ไม่มีนกไม่มีทัศนียภาพ เป็นภูเขารกร้างแห่งหนึ่งปราศจากชื่อเสียง ฝ่าบาทยังทรงจำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อสามปีก่อนมีคนถวายฎีกา กราบทูลเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง เล่าว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชานเมือง แหล่งน้ำมีการปนเปื้อน รสชาติน้ำขมราวกับหวงเหลียน* ดมแล้วมีกลิ่นแสบจมูก ราชสำนักส่งคนไปตรวจดูกลับไม่มีหนทางแก้ปัญหา ธัญพืชในที่นาในหมู่บ้านก็เหลืองกรอบแคระแกร็น ไม่อาจผลิตได้ ชาวบ้านเป็นทุกข์กับเรื่องน้ำใช้ อีกทั้งไม่อยากไปจากบ้านเกิด เป็นเหตุให้นายอำเภอในท้องที่นั้นถวายฎีกาต่อราชสำนัก หวังว่าจะสามารถจัดสรรเงินมาช่วยให้คนในหมู่บ้านนี้โยกย้ายที่อยู่ได้”
ฝ่าบาทพยักหน้า “มีเรื่องนี้จริงๆ เวลานั้นเรียกร้องใหญ่โต ออกจะโลภมากไปหน่อย จึงถูกเราแย้งกลับไป แต่ก็ได้ให้แบ่งที่ดินผืนหนึ่งให้พวกเขาได้อาศัยแล้ว”
ต่งหลีส่งเสียงขานรับในลำคอเบาๆ “หมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ที่ตีนเขาผิงซาน ส่วนผู้ที่จัดการเรื่องนั้นในเวลานั้นก็คือองค์ชายสาม บรรดาชาวบ้านไม่ยินยอมย้ายสุสานบรรพบุรุษ ยามนั้นยังเคยอาละวาดอยู่พักหนึ่ง ราชสำนักรำคาญไม่รู้จะรำคาญอย่างไร สุดท้ายองค์ชายสามทรงใช้ทั้งอารมณ์ทั้งเหตุผลทำให้พวกเขาเข้าใจ พวกเขาถึงได้ย้ายออกไป เนื่องจากเรื่องนี้ฝ่าบาทยังทรงชมเชยและพระราชทานรางวัลแก่องค์ชายสามเป็นอาภรณ์ขนนกยูงตัวหนึ่ง”
ได้ยินเขาเตือนความจำเช่นนี้คนในราชสำนักก็เห็นได้ชัดว่านึกออกแล้ว
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยก่อนพูดเสียงเบา “มีเรื่องนี้จริง อาภรณ์ขนนกยูงนั่นเฉินสี่หลิงยังเคยสวมด้วย”
“หากแต่คราวนั้น อันที่จริงองค์ชายสามลอบมอบเงินให้หมู่บ้านทั้งหมดที่ตีนเขาผิงซาน พร้อมทั้งส่งทหารในจวนไปย้ายสุสานให้ชาวบ้าน เขาไม่เสียดายเงินปานนี้ ซ้ำยังจัดการเสียรวดเร็ว นี่เป็นเพราะขณะเขาไปถึงได้ค้นพบว่าเขาผิงซานแห่งนั้นเป็นภูเขาเกลือ ก่อนจะเกิดกรณีแหล่งน้ำของหมู่บ้านที่ตีนเขาผิงซาน เมืองหลินอันเคยเกิดปรากฏการณ์มังกรพลิกตัว* ขึ้นครั้งหนึ่ง เนื่องจากเหตุการณ์นี้ เขาผิงซานจึงเกิดถล่มหลายจุด จนปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดิน เป็นเหตุให้น้ำในบ่อมีรสขมและเค็ม ธัญพืชไหม้ตาย”
ต่งหลีกล่าวต่อด้วยมาดอันห้าวหาญ “องค์ชายสามทรงค้นพบเรื่องนี้ แต่มิได้กราบทูลรายงาน กลับขอให้ฝ่าบาททรงปิดเขาผิงซาน ไม่อนุญาตให้คนเข้าออก เพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้รับเคราะห์จากน้ำปนเปื้อนพิษ”
คนบนตำหนักใหญ่มีไม่น้อยพากันพยักหน้า
เป็นตามนี้จริงๆ เนื่องจากเขาผิงซานเป็นสถานที่กันดารที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก คนส่วนใหญ่ไม่เคยไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งที่นั่นก็ไม่มีชาวบ้านอยู่แล้ว ปิดเขาก็มิใช่เรื่องใหญ่ ด้วยเหตุนี้ในเวลานั้นจึงมิมีใครคัดค้าน ถึงขนาดคิดด้วยว่าอย่าเอ็ดอึงไป อย่าให้ใครรู้ว่าเมืองหลินอันยังมีสถานที่บ้าๆ ที่ไม่สงบพรรค์นี้อยู่
“องค์ชายสามทรงครอบครองเขาผิงซานไว้เพียงผู้เดียว ส่งคนเข้าเขาไปเก็บเกลือ…”
“เจ้าพูดเหลวไหล! เจ้าพูดจาเหลวไหลสิ้นดี!” องค์ชายสามหน้าเห่อแดง ร้องโหวกเหวกเสียงดัง
เขามองอัครมหาเสนาบดีเกาปราดหนึ่ง กลับเห็นอีกฝ่ายก้มหน้ามองปลายเท้าตนเองโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว
องค์ชายสามให้ตกใจ ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจัดการเรื่องเขาผิงซานจริง แต่เรื่องหลังจากปิดเขา ข้าไม่รู้แล้ว”
ต่งหลีเหลือกตาใส่องค์ชายสาม ก่อนพูดด้วยท่าทางจริงจัง “องค์ชายทรงความจำไม่ดี ผู้ตรวจการกำลังกราบทูลความผิดขุนนาง โปรดอย่าตรัสแทรกตามอำเภอใจ”
ว่าแล้วก็เขาก็กล่าวต่ออีกว่า “หลังจากนั้นก็ให้สกุลโจว สกุลหวัง สกุลหลิ่ว และสกุลหยาง สี่ตระกูลนี้ขนเกลือเถื่อนออกขาย ในจำนวนนี้คนแซ่โจวรู้จักกับเฉินสี่หลิงพระชายาองค์ชายสามอยู่แต่เก่าก่อน จึงให้นางออกหน้า สกุลหวังและสกุลหลิ่วเดิมก็เป็นญาติฝ่ายหวังซื่อสนมขององค์ชายสาม ส่วนสกุลหยาง…”
ต่งหลีพูดพลางมองอัครมหาเสนาบดีเกาปราดหนึ่ง “สกุลหยางเป็นสกุลเดิมของอนุของเกามู่น้องชายเกากุ้ยเฟย ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร กระหม่อมมีทั้งคำให้การของหลี่โหยวผู้ดูแลที่องค์ชายสามทรงส่งไปเขาผิงซาน รวมถึงคำให้การของเถ้าแก่โจว ตลอดจนคำให้การของสกุลหลิ่วด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในจำนวนนี้หลี่โหยวได้มอบสมุดบัญชีมาด้วยเล่มหนึ่ง บันทึกเรื่องเวลาขนสินค้าออกจากจวนองค์ชายสามและเวลาเก็บเงินคืน ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วก็จะทรงทราบ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.