ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 139-141
บทที่ 140
“น้องชายของหัวหน้าโจรในค่ายนั้นมีชื่อว่าเอ้อร์เชวีย ปัจจุบันคอยติดตามคนสกุลหยางวิ่งขึ้นเหนือ บัดนี้คนมาอยู่นอกประตูวังแล้ว หากฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะสอบถามให้ชัดเจนต่อหน้าธารกำนัลถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่ายบนเขานั้นกับองค์ชายสาม ก็สามารถเรียกตัวเอ้อร์เชวียเข้าวังได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ต่งหลีพูดจบก็มองไปยังองค์ชายสามอีกครั้ง “องค์ชายไม่ต้องตรัสว่ากระหม่อมหาคนมามั่วๆ แล้วบอกว่าเป็นโจรภูเขาเพื่อใส่ความท่าน ตอนที่ขุนนางในที่นั้นรายงานขึ้นมาได้ยื่นภาพเหมือนของโจรภูเขานี้มาด้วย คิดว่าน่าจะยังมีเก็บไว้อยู่ ท่านทรงคิดว่าเอ้อร์เชวียผู้นั้นอยู่ไกลจากเมืองหลวง เพียงเคลื่อนไหวอยู่ในดินแดนทางเหนือ ก็จะไม่ถูกใครจับได้แล้ว ทว่ากระดาษห่อไฟไม่อยู่ โจรภูเขาผู้นี้เหตุใดจึงไม่ตาย นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญในการไปดินแดนทางเหนือ ท่านขนเกลือเถื่อนไปขายดินแดนทางเหนือ ทั้งยังลักลอบขนม้าศึกรวมถึงสมบัติล้ำค่ามาจากดินแดนทางเหนือ ท่านหาใช่ผู้คุมกองทัพ จะต้องการม้าศึกไปเพื่ออะไร”
ต่งหลีพูดจบก็ถวายบังคมต่อก่อนกล่าวอีกว่า “นี่เป็นความผิดข้อที่สองขององค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินวั่งซูเงี่ยหูรอเขาบอกความผิดข้อที่สาม เจ้านี่ช่างใจดำ แม้แต่สุสานของบรรพบุรุษตนเองยังกล้าปล้น สมควรถูกฟ้าผ่าโดยแท้
รออีกครู่ใหญ่กลับเห็นต่งหลีก้าวกลับไปยืนที่เดิมอย่างเงียบๆ
ประหนึ่งว่าวาจาน่าตกใจตั้งมากมายเมื่อครู่นี้มิได้ออกมาจากปากของเขาก็มิปาน
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง แสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์ออกมาเหมือนกัน ต่งหลีรู้เรื่องขององค์ชายสามมากยิ่ง เกรงว่าคงจะให้คนไปซ่อนอยู่ใต้เตียงเขา แม้แต่เขากับพระชายาทำกิจกรรมคืนหนึ่งกี่ครั้งก็ยังบันทึกไว้อย่างชัดแจ้ง
ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่รู้ในเรื่องที่นางกับเหยียนเจวี๋ยยังค้นพบได้แม้แต่จะสืบดูส่งๆ
ในกระสอบบนเรือห้าลำนั้นไม่มีทางมีแค่ของในสุสานขององค์หญิงเฉิงอันเพียงแค่สี่ชิ้นนั้น เมื่อคืนต่งหลีเองก็อยู่ในเหตุการณ์ เช่นนั้นเขาซุ่มดูอยู่ที่ใด
นางกับเหยียนเจวี๋ยล้วนไม่พบเห็นเขาโดยสิ้นเชิง ถ้าเช่นนั้นต่งหลีเห็นพวกนางหรือไม่ เห็นพวกนางลอบฉกฉวยของหรือไม่
แล้วเหตุใดเขาจึงไม่บอกความผิดข้อที่สามที่ว่า…ขุดสุสานของคนตาย
จวบจนต่งหลีปิดปากลงแล้ว ฮ่องเต้ถึงเพิ่งจะคล้ายว่าถูกหยุดเวลาไว้ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาคว้าสมุดบัญชีเล่มนั้นขึ้นมาปาใส่หน้าองค์ชายสามด้วยความเดือดดาล ก่อนแผดเสียงลั่น “ลูกเนรคุณ!”
เฉินวั่งซูคิดในใจเงียบๆ ว่า องค์ชายสามจบเห่!
แม้แต่หนวดของฮ่องเต้ก็กำลังสั่น เขายกมือหนึ่งขึ้นกุมหน้าอก อีกมือชี้องค์ชายสาม
บรรดาสตรีเป็นต้นว่าไทเฮารวมถึงฮองเฮาประหนึ่งว่าเพิ่งจะมาถึง จู่ๆ ก็มีตัวตนขึ้นมาแล้ว แต่ละคนรุมล้อมเข้ามา “ฝ่าบาททรงระงับความพิโรธด้วยเพคะ พระวรกายเป็นสิ่งสำคัญ”
พวกนางยิ่งพูด ฮ่องเต้ยิ่งตัวสั่นแรงขึ้น ประหนึ่งถูกแช่งก็มิปาน
“ลูกเนรคุณ! ลูกเนรคุณ! พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นทั้งบุตรชายคนโต เป็นทั้งบุตรชายสายตรง ตำแหน่งรัชทายาทนี้เดิมทีก็เป็นของเขา แต่เขาดันขาไม่ดี เขาเสนอเจ้าหลายครั้งหลายหน บอกว่าในบรรดาน้องชายทุกคนมีเจ้าคนเดียวที่จิตใจดีและมีความซื่อตรงที่สุด เราเห็นว่าเป็นจริงตามนั้น เจ้าโดดเด่นในทุกด้านมาตั้งแต่เล็ก เราแค่ยังไม่ได้พูดชัดว่าจะยกตำแหน่งให้เจ้า แต่กับแค่เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว เจ้ากลับรอไม่ได้? หวังให้เราตายไวๆ หวังให้…เจ้าดูเถอะว่าเจ้าทำเรื่องอะไรลงไป เจ้าทำให้เราผิดหวังเหลือเกิน! ทำให้…” ฮ่องเต้พูดพลางตัวสั่น กระอักเลือดออกมา สองตาเหลือก หมดสติไปแล้ว บนตำหนักใหญ่วุ่นวายในทันใด คนทั้งโขยงพุ่งตัวไปหาฮ่องเต้ราวกับฝูงผึ้งทั้งรัง
ทำเสียเหมือนว่าพวกเขาเป็นยาวิเศษอะไร พุ่งไปหาแล้วก็จะสามารถปลดปล่อยอิทธิฤทธิ์ทำให้ฮ่องเต้ฟื้นกลับมาได้ก็มิปาน
องค์ชายสามเห็นภาพนี้แล้วก็ร้อนใจขึ้นมา พุ่งปราดไปหาฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน ทว่าไทเฮาตาไว กลับตะโกนลั่น “ใครก็ได้ จับตัวคนเนรคุณนี่ไว้ รีบหามฝ่าบาทกลับตำหนักบรรทม แล้วเรียกหมอหลวงมา”
เฉินวั่งซูเบะปาก ฝ่าบาทเอ๋ย แสดงแย่ไปหน่อยแล้ว!
ปกติเวลากระอักเลือดต้องเป็นเลือดสีเข้ม อีกทั้งต้องกระอักคำใหญ่ๆ
พระองค์ดูตนเองสิ กลัวเจ็บกระมัง กัดลิ้นก็ไม่รู้จักกัดให้ใหญ่หน่อย ที่พ่นออกมาคือเลือดเสียที่ใด น้ำลายชัดๆ!
โชคดีที่คนพวกนั้นเอาแต่โวยวายว่าฮ่องเต้กระอักเลือด กระอักเลือด…
ตาของแต่ละคนนี้ล้วนเป็นกล้องจุลทรรศน์กระมัง เลือดแค่นิดเดียวนั่นยังสามารถมองเห็นได้
องค์ชายสามตกใจ มองไปยังอัครมหาเสนาบดีเกาด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
อัครมหาเสนาบดีเกากลับก้มหน้า ทั้งร่างส่งสัญญาณออกมาว่า ‘ข้าตัดการติดต่อกับโลกภายนอกแล้ว’
องค์ชายสามขาอ่อนยวบ นั่งเป็นอัมพาตอยู่ที่พื้น
เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเหยียนเจวี๋ย เดินตามฝูงชนหลั่งไหลออกไปนอกตำหนัก
ขณะใกล้ถึงหน้าประตูนางก็หันหน้าไปมองต่งหลีที่ยืนพิงประตูอยู่ปราดหนึ่ง
ตำแหน่งขุนนางเขาต่ำ ไม่สามารถนั่งด้านหน้าได้ ทำได้เพียงนั่งกินข้าวอยู่ติดประตู มองฮ่องเต้จากตรงนี้แทบจะมองเห็นได้แค่เครื่องหน้าเลือนราง เขาดูท่าทางสงบยิ่ง ไม่เหมือนคนทำการใหญ่แม้แต่น้อย
มองเห็นเฉินวั่งซูมองตน ต่งหลีก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนหมุนตัวก้าวนำหน้าออกประตูตำหนักไป
เฉินวั่งซูมองไปยังเหยียนเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจ “เขารู้จักข้า?”
เหยียนเจวี๋ยแทบอยากจะตบหน้าตนเองอีกครั้ง เหตุใดเขาต้องพูดเรื่องที่ต่งหลีมีความเป็นไปได้ที่จะแต่งงานกับเฉินวั่งซูด้วย!
เดิมทีด้วยหน้าตาของฝ่ายนั้น เฉินวั่งซูไม่มีทางเห็นอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง แต่พอมีจุดที่แตกต่างจากผู้อื่น ก็ทำให้นางเริ่มให้ความสนใจแล้ว มิหนำซ้ำคืนนี้ต่งหลีก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลินอันจริงๆ
ทำเอาเขากลายเป็นมอมแมมหมดสง่าราศีเลยทีเดียว!
หากรู้ก่อนว่า เขาจะไม่แสร้งทำเป็นใสซื่อจิตใจดีต่อหน้าเฉินวั่งซูแล้ว และยิ่งจะไม่เลือกเส้นทางปลอมเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์ แต่เดินหน้าบุกเต็มกำลังไปเลยก็คงดี! ถ้าเป็นเช่นนั้นคืนนี้มีหรือจะตกเป็นรอง
อย่าพูดว่าเขาคิดมากไป สตรีชาวต้าเฉินล้วนไม่แน่ว่าจะปฏิบัติตามหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม*! เจ้าอยากได้ทะเบียนสมรสเพื่อกักขังเฉินวั่งซูที่ชีวิตก่อนเป็นดาราสาวไว้? อย่าประเมินของเส็งเคร็งนั้นสูงเกินไปเชียว! หากนางต้องการ ก็หนีไปได้ในเสี้ยววินาที!
เหยียนเจวี๋ยกำลังเลือดไหลซิบในใจ ภายนอกกลับยังคงเข้มแข็ง “อาจเพราะพี่ชายเจ้าเอ่ยถึงเจ้าเป็นครั้งคราวกระมัง”
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็เห็นว่าใช่ จึงเดินออกจากวังพร้อมกับเหยียนเจวี๋ย
รถม้าเพิ่งจะแล่นมาถึงในตรอกมืดที่ลับตาคนเส้นหนึ่งก็พลันหยุดลง
“เฉิงอู่ มีเรื่องอะไร” เหยียนเจวี๋ยเอ่ยถาม
เฉินวั่งซูแหวกม่านรถม้า ชะโงกหน้าดู มองเห็นเพียงต่งหลีขี่ลาตัวเล็กตัวหนึ่งขวางอยู่กลางทาง เห็นได้ชัดว่ากำลังรอพวกเขาอยู่ที่นี่
มองเห็นเฉินวั่งซูต่งหลีก็ตบก้นลา เดินมากล่าวเสียงเบา “ของสี่อย่างนั้นเอาคืนมา มิใช่ของที่พวกท่านควรมี อย่าหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว”
เฉินวั่งซูยกมือปิดปากด้วยท่าทางประหลาดใจ “ของอะไร ผู้ตรวจการต่งพบหน้าพวกข้าเป็นครั้งแรก ไฉนจึงมาเรียกเอาของกันเสียแล้ว นี่จะน่าขายหน้าไปหน่อยแล้ว”
ต่งหลีมองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง ก่อนมองไปยังเหยียนเจวี๋ย “นางชอบพูดเช่นนี้ตลอดเลยหรือ ของอะไรท่านรู้ดีแก่ใจ นำของไปให้ฉางเยี่ยน”
เหยียนเจวี๋ยเลิกคิ้ว เอนตัวเข้าหาหน้าต่างด้วยท่าทางเกียจคร้าน เส้นผมเขาระผ่านใบหน้าเฉินวั่งซูเบาๆ ทำเอานางคันยุบยิบในใจ
“ผู้ตรวจการต่งคืนนี้เป็นที่โดดเด่น ไม่มีทางไม่รู้ว่ามีคนสะกดรอยตามท่านมามากน้อยเพียงไรกระมัง ยังจะมาบอกว่าไม่อยากให้พวกข้าหาปัญหายุ่งยากใส่ตัว ข้าว่าท่านนั่นละปัญหา ทั้งยังค่อนข้างใหญ่อีกด้วย!”
ต่งหลีมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง ก่อนมองปากตรอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เสร็จแล้วก็ชี้หูของตนเอง “ข้าฟังได้ยิน ขอพูดเพียงเท่านี้ อีกสามวันข้าจะไปเอาจากฉางเยี่ยน”
เขาพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ หันหัวลาทำท่าจะจากไป
เหยียนเจวี๋ยมิได้ตอบคำ กลับย้อนถามว่า “ทั้งๆ ที่องค์ชายสามอยู่ห่างจากตำแหน่งฮ่องเต้อีกเพียงก้าวเดียว เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า”
ต่งหลีชะงัก ชูแส้เล็กในมือ “เพราะว่าเพียงก้าวเดียวนี้ห่างไกลกันราวฟ้ากับดิน”