ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน
ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 201-202
บทที่ 202
เฉินวั่งซูฟังแล้วหรี่ตา ถึงอย่างไรชั่วขณะนี้ก็มีลมหิมะพัดแรงยิ่ง ถึงไม่อยากหรี่ตาก็ต้องหรี่ มิเช่นนั้นดวงตาแสนดีคู่นี้ของนางคงได้เต็มไปด้วยหิมะแล้ว
แม่ทัพฉินมีคุณธรรมความรู้ตื้นเขิน แต่มีใจฝักใฝ่ในลาภยศอย่างแรงกล้า ยังดีที่รู้กาลเทศะ
ตอนแรกที่ฉินเจ่าเอ๋อร์มอบหน้าไม้เล็กให้ นางบอกว่าข่งซื่อผู้เป็นมารดามาจากตระกูลบัณฑิตธรรมดาทั่วไป มีชีวิตอยู่ในสกุลฉินซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพได้อย่างยากลำบาก ทั้งยังบอกว่าตอนนางยังเด็กใช้หน้าไม้เล็กเล่นงานผู้อื่นเป็นประจำ…แปลกพิกลไปเสียทุกจุดจริงๆ
แต่มาตอนนี้เมื่อฉินเจ่าเอ๋อร์เอ่ยถึงสกุลเสิ่นก็สามารถอธิบายได้แล้ว
สกุลเสิ่นนี้เมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองตงจิงเคยมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่อดีตฮ่องเต้เล่าให้คนฟังได้ไม่รู้เบื่อ และยิ่งเกี่ยวโยงถึงคดีประหลาดคดีหนึ่งในวัง
ว่ากันว่าสมัยนั้นยามอดีตฮ่องเต้กลัดกลุ้มใจมักจะไปดื่มสุราในร้านสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งทางใต้ของเมืองวันหนึ่งได้บังเอิญพบสตรีในยุทธภพแซ่เสิ่นในที่แห่งนั้น คนทั้งสองตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ
อดีตฮ่องเต้มีนิสัยหัวรั้น หากไม่ชนกำแพงจะไม่ยอมหันหลังกลับ ทำศึกกับผู้ตรวจการและบรรดาญาติๆ เป็นร้อยๆ รอบกว่าจะหามพระสนมเสิ่นที่มีประวัติไม่แน่ชัดผู้นั้นเข้าวังได้ พระสนมเสิ่นผู้นั้นเองก็เป็นคนวิเศษ เป็นที่โปรดปรานแต่เพียงผู้เดียวอยู่ช่วงใหญ่
เวลานั้นพระสนมเสิ่นมักพกร่มคันหนึ่งติดตัว ร่มคันนั้นสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ แปลกใหม่พอสมควร ในเมืองหลวงลือกันว่าเบื้องหลังนางจะต้องมีตระกูลใหญ่ที่ร้ายกาจซึ่งมีฝีมือการช่างที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษอยู่เป็นแน่
พระสนมเสิ่นเข้าวังแล้วกลับมีปฏิภาณไหวพริบ หนึ่งไม่พูดถึงบ้าน สองไม่ประดิษฐ์กลไก สกุลเสิ่นยอดกลไกนั้นเป็นเพียงคำเล่าลือปากต่อปากของผู้คน ไม่อาจถือเป็นความจริงได้ นานวันเข้าก็ไม่มีใครพูดถึงอีก
เฉินวั่งซูได้ยินเรื่องพระสนมเสิ่นอีกที อีกฝ่ายก็เข้าไปอยู่ในคุกแล้ว
ได้ข่าวว่าอีกฝ่ายจัดฉากใช้วิชากลไกหลอกสังหารสนมชายาที่มีตำแหน่งสูงสองคนในขณะนั้น เรื่องโดยละเอียดพิลึกพิลั่นเกินไป ในวังจึงสั่งห้ามแพร่งพราย
เฉินวั่งซูในยามนั้นยังอายุน้อยมาก นั่งบนตักเฉินเป่ยผู้เป็นปู่แล้วได้ยินเขาพูดถึงในฐานะที่เป็นเรื่องน่าสนใจ
อดีตฮ่องเต้รับพระสนมเสิ่นเข้าวังเพราะหมายใจในวิชากลไกหรือไม่…เฉินวั่งซูไม่รู้
แต่บิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์รับมารดาของนางเข้าจวนเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนจากสิบส่วนว่าทำเพื่อวิชากลไก มิเช่นนั้นก็คงไม่ถึงกับรับน้าสาวของฉินเจ่าเอ๋อร์มาอีกหลังจากมารดาแท้ๆ ของนางตายไป
ฉินเจ่าเอ๋อร์ที่สามารถขอหน้าไม้เล็กมาจากสกุลเสิ่นได้จึงมีฐานะลึกลับซับซ้อนขึ้นมาแล้ว มิเช่นนั้นต่อให้ฉินเจ่าเอ๋อร์ผู้นี้ร้ายกาจเพียงไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถเล่นงานมารดาเลี้ยงผู้นั้นของนางได้โดยอีกฝ่ายปราศจากกำลังจะตอบโต้
“พอจะทำหน้าไม้เล็กคันนั้นของท่านจำนวนมากหน่อยแล้วส่งไปให้ชายแดนใช้ได้หรือไม่” เหยียนเจวี๋ยพลันส่งเสียงถามขัดจังหวะความคิดของเฉินวั่งซู
ไม่รอให้ฉินเจ่าเอ๋อร์ตอบองค์ชายสี่ก็ชิงส่ายหน้าแล้ว “ไม่ได้ ข้าเคยถามนานแล้ว ด้านในหน้าไม้เล็กนั้นต้องใช้วัสดุหายากชนิดหนึ่ง…ถึงแม้วัสดุนั้นจะมีมากพอ แต่ผู้ที่ทำสิ่งนี้เป็นก็มีเพียงไม่กี่คน…อันที่อยู่ในมือเจ่าเอ๋อร์นี้นางก็ใช้เวลาทำถึงหนึ่งปีเต็ม”
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า ไม่ซักไซ้ต่ออีก
เทวศาสตราที่สามารถล้มแม้แต่ยอดฝีมือในยุทธภพพรรค์นี้ หากผลิตในจำนวนมากได้แคว้นต้าเฉินก็เอาชนะแคว้นเป่ยฉีได้นานแล้ว ยามฝ่ายศัตรูกับฝ่ายเราเจอหน้ากันคงไม่ต้องลั่นกลองรบแล้ว เพียงตั้งลำหน้าไม้เล็กแล้วยิงออกไปเลย…
เท่านี้บริเวณร้อยหลี่ก็ราบเป็นหน้ากลอง
“หน้าไม้เล็กนี้ของข้าแค่มอบให้ผู้ไม่เป็นวรยุทธ์ใช้งานก็พอไหว แต่สำหรับยอดฝีมืออย่างพวกท่าน มันสู้การซัดอาวุธลับออกไปตรงๆ ไม่ได้เลย ข้าเองก็เคยคิดเรื่องใช้หน้าไม้เล็กในสนามรบมาก่อน แต่เกรงว่ามันคงไม่ได้ช่วยสร้างประโยชน์มากเท่าไร ข้าเพียงลักจำความรู้จากท่านลุงสามของข้ามาได้แค่เศษเสี้ยว นอกจากเจ้านี่ก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว” นางเปลี่ยนเรื่องพูด “ยามนี้ลมหิมะเบาลงบ้างแล้ว พวกเราลงเขากันเถอะ ไปหาที่ย่างน่องแพะกินกัน”
เรื่องนี้เฉินวั่งซูเคยคิดมานานแล้ว นางหาได้ผิดหวังไม่ ครั้นต่อมาได้ยินฉินเจ่าเอ๋อร์เริ่มพูดถึงน่องแพะย่างก็ทำให้นางน้ำลายสอบ้างแล้ว
เหยียนเจวี๋ยฟังแล้วก็พยักหน้า ก่อนย่อตัวลง “ขึ้นมาสิ ข้าจะแบกเจ้าลงเขาเอง จะได้ถึงเร็วหน่อย”
เฉินวั่งซูแสร้งไอก่อนจะเกาะหลังเขาอย่างปราศจากความลังเล
ขึ้นเขานั้นง่ายลงเขานั้นยาก อีกประการหนึ่งคนงามพูดอะไรนางก็เชื่อฟังเป็นปกติ
“เจ้าเองก็ขึ้นมาด้วยแล้วกัน ล้วนแต่เป็นสตรี ไม่มีเหตุผลที่ท่านอาหญิงของข้ามีคนแบก แต่เจ้าไม่มี”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง
องค์ชายสี่เห็นก็หมดความอดทนแล้ว “เจ้าจะขึ้นหรือไม่ขึ้น!”
ฉินเจ่าเอ๋อร์ถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่ง ก่อนเป่าลมอุ่นใส่ฝ่ามือ “หม่อมฉันมาแล้ว!”
นางพูดพลางกระโดดไปข้างหน้า ขึ้นหลังองค์ชายสี่
องค์ชายสี่เซไปด้านหน้า “ให้ตาย ไยเจ้าจึงหยาบกระด้างปานนี้ ใครไม่รู้เรื่องคงได้นึกว่าภิกษุในวัดกำลังตีระฆัง! กระโดดขึ้นมาเสียแรงจนข้าเกือบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว!”
คราวนี้ฉินเจ่าเอ๋อร์ไม่ได้โกรธ กลับหัวเราะร่า “ก็หม่อมฉันพอใจ!”
องค์ชายสี่เม้มปาก อำพรางมุมปากที่ยกขึ้นของตนเอง ดันตัวฉินเจ่าเอ๋อร์ให้สูงขึ้น “จับไว้ให้ดี ข้าจะไล่ตามเหยียนเจวี๋ยไปแล้ว”
พวกเฉินวั่งซูมาถึงหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ พวกเขากินแพะย่างไปหนึ่งตัว รอจนหิมะหยุดตกแล้วถึงเดินทางกลับเมือง
กว่าจะมาถึงจวนโคมไฟก็เริ่มถูกจุดขึ้น ท้องฟ้าเป็นสีเข้มขึ้นแล้ว
เฉินวั่งซูเอนร่างอยู่บนเตียง ปล่อยเส้นผมรับความอบอุ่นจากกระถางไฟที่วางอยู่ไม่ไกล ไป๋ฉือที่ด้านข้างเขี่ยถ่านด้วยความทุกข์ใจ ในห้องเล็กที่อยู่ติดกันมีเสียงน้ำดังซู่ๆ จากที่เหยียนเจวี๋ยอาบน้ำ
“คุณหนู พวกเราเลิกผิงไฟกันดีหรือไม่เจ้าคะ บ่าวกลัวจริงๆ ว่าผมจะไหม้ ไม่กล้าละสายตาแม้แต่ชั่วขณะเดียวเลยเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูพลิกหน้านิยาย ก่อนหยิบบ๊วยลูกหนึ่งมาอม “ผมไหม้ก็ไม่เลว จะได้กลายเป็นเส้นหยิกเหมือนแกะ…”
ไป๋ฉือนึกภาพขนแกะขึ้นอยู่บนศีรษะเฉินวั่งซูเล็กน้อย แล้วพลันสะบัดศีรษะทันที “คุณหนู บ่าวหวีผมเกล้าผมให้แกะไม่เป็น”
เฉินวั่งซูหลุดหัวเราะพรืด หวิดจะถูกบ๊วยในปากติดคอตาย นางไอโขลกๆ เป็นครู่ใหญ่ถึงค่อยดื่มน้ำทั้งที่ยังหน้าแดง
“วันพรุ่งนี้คือวันที่สอง ต้องกลับไปอวยพรปีใหม่ เตรียมข้าวของเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ไป๋ฉือยังผวาไม่หาย เก็บลูกบ๊วยของเฉินวั่งซูมาทั้งหมด “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ แพะ เกาลัด และเห็ดภูเขาที่คุณหนูนำกลับมาวันนี้ก็ใส่เติมเข้าไปแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูพยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ก่อนแสร้งถามอย่างไม่เจตนา “ท่านอาสามของข้าเป็นคนเช่นไร เฮ้อ พอถึงหน้าเทศกาลทีไรข้ายิ่งคิดถึงญาติเป็นเท่าทวี รอวันพรุ่งนี้กลับไปก็ต้องฟังอาสะใภ้สามบ่นอีกแล้ว ประเดี๋ยวนางก็ด่าท่านอาสามของข้าว่าเป็นคนเลว เกรงว่าจะทิ้งลูกทิ้งภรรยาแล้วไปมีคนใหม่อยู่ข้างนอกแล้ว ประเดี๋ยวก็บอกว่าเขาเป็นคนดี จริงใจต่อนาง จะต้องถูกอะไรฉุดรั้งไว้แน่ ประเดี๋ยวก็บอกว่าคงจะไม่กลับมาแล้ว พูดไปพูดมา ข้าใกล้จะลืมไปแล้วว่าท่านอาสามของข้ามีรูปร่างหน้าตาเยี่ยงไร”
ไป๋ฉือลังเลอยู่บ้าง “บ่าวเองก็แทบไม่เคยได้พบ ทว่าบ่าวได้ยินคนพูดว่าหลายปีมานี้ฮูหยินสามคอยตามหาอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด แต่ตอนฤดูใบไม้ผลิเมื่อสองปีก่อนคงจะได้รับข่าวการตายของนายท่านสามถึงได้ล้มป่วยหนัก ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ฮูหยินสามจึงไม่กล้าบอก เพียงเก็บข่าวนี้ไว้กับตนเอง วันชิงหมิง* เมื่อปีกลายบ่าวยังบังเอิญเห็นจือเหยาสาวใช้ข้างกายฮูหยินสามลอบซื้อธูปเทียนกับเงินกระดาษด้วยเจ้าค่ะ!”
เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว พอไป๋ฉือพูดเช่นนี้นางก็นึกขึ้นได้แล้ว มีฤดูใบไม้ผลิปีหนึ่งที่อาสะใภ้สามที่แข็งแรงยิ่งกว่าวัวป่วยหนักจริงๆ ดื่มยาอยู่นานกว่าจะหายดี ซ้ำคนก็ผ่ายผอมลงมาก
“คุณหนูมีข่าวของนายท่านสามแล้วหรือเจ้าคะ”
นอกจากคำพูดเหลวไหลที่ท่านปู่ผู้เป็นประดุจเทพเซียนเฒ่าซึ่งตายไปหลายปีแล้วจับยามสามตาทำนายออกมา เฉินวั่งซูก็ไม่มีข่าวใดๆ เกี่ยวกับท่านอาสามโดยสิ้นเชิง นางถึงขั้นจำได้ไม่ชัดแล้วด้วยซ้ำว่าคนผู้นั้นสูงเตี้ยหรืออ้วนผอมอย่างไร
เป็นต้นว่านางไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านอาสามของนางจะขาวนุ่มเนียนประหนึ่งเต้าหู้อ่อนที่เพิ่งออกจากหม้อ
* ใบเฟิง หมายถึงใบเมเปิ้ล
* วันชิงหมิง (เช็งเม้ง) หนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ของจีน ตรงกับช่วงวันที่ 4-6 เมษายน เป็นช่วงที่อากาศแจ่มใส คนจึงนิยมไปไหว้บรรพบุรุษในช่วงนี้
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกันยายน 66)