มิผิดจากที่คาด ประตูส่งเสียงดังปังพร้อมกับถูกคนผลักเปิด คนกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา
“หากรู้ก่อนว่าวันนี้น้องหญิงทั้งสองจะออกมาดื่มชาด้วย ก็คงจะบอกให้สี่ผิงออกมาด้วยกันกับพวกเจ้าแล้ว พี่เขยเจ้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมทางตั้งไกลเป็นเพื่อนข้าเพื่อไปรับนางออกมา”
ผู้พูดสวมชุดสีแดงลายทองทั้งตัว ดูหรูหราล้ำค่ายิ่งยวด ปิ่นระย้าทองบนศีรษะแทบจะสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ต้องขอบคุณที่นางมีใบหน้าดูดีมีสง่าราศี เมื่อครู่ถึงมิได้ดูกะเร่อกะร่า
นางก็คือเฉินสี่หลิงบุตรสาวคนโตของบ้านรองสกุลเฉินที่อยู่ในตรอกเดียวกัน สามปีก่อนนางเข้าพิธีแต่งงานกลายเป็นพระชายาขององค์ชายสาม เมื่อปีกลายเพิ่งให้กำเนิดบุตรชาย มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง เฉินสี่ผิงที่นางพูดถึงคือน้องสาวร่วมอุทรของนาง อายุมากกว่าเฉินวั่งซูห้าวัน
เนื่องจากถึงวัยหาคู่ครองแล้ว ระยะนี้เฉินสี่หลิงจึงมักพาเฉินสี่ผิงไปร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาและงานเลี้ยงน้ำชาต่างๆ
เฉินสี่ผิงมีใบหน้ารูปเมล็ดแตงโม ดูงามดาษดื่นกว่าเฉินสี่หลิงสามส่วน และดูใจจืดใจดำอยู่บ้าง
เฉินวั่งซูเชื่อมโยงความทรงจำ ในขณะที่คาดการณ์อย่างรวดเร็วอีกทางก็คารวะคนทั้งหลาย
บุรุษที่ยืนอยู่ข้างเฉินสี่หลิงซึ่งไว้หนวดเคราทรงแพะภูเขา ดูค่อนข้างคงแก่เรียนก็คือองค์ชายสามผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างสูงในปัจจุบัน เทียบกับองค์ชายเจ็ดที่มารดาล่วงลับไปนานแล้ว ตระกูลฝั่งมารดาขององค์ชายสามนับว่าทรงอำนาจ เป็นอุปสรรคชิ้นเป้งชิ้นหนึ่งบนเส้นทางก่อกบฏของนาง
นางร้ายเฉินวั่งซูจดบันทึกลงสมุดเล่มน้อยในใจว่าต้องกำจัดเขาโดยด่วนที่สุด
องค์ชายสามแย้มยิ้ม ก่อนจะผลักองค์ชายเจ็ดที่มีสีหน้าไม่พอใจเบาๆ “เจ้าได้พบคนแล้ว ไฉนจึงไม่ทักทาย มีอย่างนี้เสียที่ใดกัน”
ไม่รอให้องค์ชายเจ็ดได้พูดสิ่งใดเฉินวั่งซูก็ชิงออกปากก่อนอย่างเอาใจใส่ เสียงนั้นทำเอาเฉินเถียนที่อยู่ด้านหลังได้ยินแล้วตัวสั่นสะท้าน
อ่อนโยนเกินไปแล้ว…เป็นน้องสาวของพี่หญิงรองมาสิบกว่าปีก็ยังไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดจามีจริตจะก้านถึงเพียงนี้…
“มิทราบว่าองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย เดิมทีควรเป็นหม่อมฉันไปถวายบังคมก่อน ได้ยินมานานแล้วว่าองค์ชายเจ็ดทรงรักษาจารีตที่สุด เดิมทีก็มีการหมั้นหมายกันอยู่ ควรต้องหลบเลี่ยงกัน แต่วั่งซูกลับเสียมารยาทแล้วเพคะ”
เฉินวั่งซูพูดพลางหยิบหมวกม่านแพรที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสวมบนศีรษะตนเองด้วยท่าทางเรียบร้อยเป็นงานเป็นการ
องค์ชายเจ็ดมุ่นหัวคิ้ว ว่าแล้วว่าบุตรสาวของเฉินชิงเจี้ยนตาเฒ่าคร่ำครึแห่งกรมพิธีการย่อมมิพ้นเป็นโบราณวัตถุที่ถูกขุดออกมาจากในสุสานเนินดินที่ใดสักแห่ง!
เฉินวั่งซูพินิจมององค์ชายเจ็ดผ่านหมวกม่านแพรอย่างตั้งใจชั่วครู่หนึ่ง
วันนั้นที่ป่าท้อมองเห็นไม่ชัดนัก องค์ชายเจ็ดผู้นี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายองค์ชายสามอยู่หกเจ็ดส่วน ดวงตาทั้งโตทั้งกลม จมูกโด่งเป็นสัน ผิวพรรณขาวผ่อง งามกว่าโต้วอี้อวิ๋นที่เป็นจิ้นซื่อสามส่วน แต่ยังด้อยกว่าเหยียนเจวี๋ยสามร้อยส่วน!
หากเหยียนเจวี๋ยเป็นใบหน้าเทพประทานระดับยอดพีระมิดในวงการบันเทิง องค์ชายเจ็ดก็คงจัดอยู่ในพวกดาราเกรดซีเท่านั้น
เฉินวั่งซูกลอกตามองไปทางแม่นางผู้หนึ่งที่ไม่เคยพบหน้าซึ่งยืนอยู่ข้างเฉินสี่หลิง ก่อนกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “องค์ชายเจ็ดทรงวาดดอกเหมยได้งามยิ่งยวด ขณะหิมะตกในปีนี้หม่อมฉันเกิดเป็นไข้โดยมิทันระวังตัวจึงพลาดมิได้เห็น ทว่าด้วยพระเมตตาขององค์ชายเจ็ดจึงได้ยลอย่างชัดแจ้ง
เมื่อวานไปชมดอกท้อที่นอกเมืองกับมารดา เกิดความสะเทือนใจขึ้นมาจึงได้จับพู่กันวาดออกมาภาพหนึ่งเพื่อเป็นของตอบแทน วั่งซูฝีมือธรรมดาสามัญ หวังว่าองค์ชายเจ็ดจะทรงอภัยด้วยเพคะ”