บทที่ 8
ถ่อมตัวเกินไปก็คือการโอ้อวด คนในที่นี้พากันมีสีหน้าพิกลขึ้นมาทันที
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าในบรรดาทักษะพิณ หมาก อักษร ภาพวาด* นอกจากการดีดพิณที่อยู่ในขั้นธรรมดาสามัญแล้ว อักษรและภาพวาดนั้นเฉินวั่งซูล้วนมีอาจารย์ชื่อดังถ่ายทอดความรู้ให้ แม้มิอาจอวดว่าเป็นที่หนึ่ง แต่อย่างน้อยในห้องนี้ก็นับว่าเป็นหงส์ในฝูงกา
คราแรกองค์ชายเจ็ดส่งภาพวาดไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง หลังเดินทางกลับก็นึกเสียใจอยู่สามวันสามคืน นี่เขามิใช่รำขวานหน้าบ้านหลู่ปัน หรือ นี่คือเรียนอักษรได้แค่พันตัวกลับริอ่านไปแข่งบทความกับจ้วงหยวนชัดๆ
นี่มิใช่…กำลังเหน็บแนมองค์ชายเจ็ดอยู่หรอกหรือ
คนทั้งหลายคิดพลางมองไปยังเฉินวั่งซู ดวงตาโตของนางใสแจ๋วจนเหมือนน้ำตื้นๆ จริงใจเสียประหนึ่งจะควักเอาของกินชิ้นสุดท้ายในจวนมามอบให้ญาติมิตรแล้ว ช่างชวนให้คนรู้สึกละอายใจนัก
แต่หากมิใช่เหน็บแนม แล้วไยใบหน้าขององค์ชายเจ็ดถึงเป็นสีเขียวเล่า…
องค์ชายสามรู้สึกว่าอากาศที่เย็นจัดจนจะแข็งตัวภายในห้องเหมือนจะกระแทกใบหน้าเขาแล้วจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พูดถึงป่าท้อ ข้ามีเรื่องสนุกจะเล่า เมื่อวานน้องเจ็ดเรียกหมอหลวงไปหาด้วยอาการร้อนใจดั่งไฟสุม ข้านึกว่าเกิดเรื่องอันใดเข้าจึงรีบร้อนแล่นไปดู แต่พอไปถึงเขากลับไม่รู้ไปมุดป่าดงพงไพรที่ใดมา ถูกแมลงกัดจนบวมไปทั้งหน้า ข้าแทบจะจำไม่ได้ ยังดีที่หมอหลวงเก่งกาจ มิเช่นนั้นงานกวีในวันนี้คงมาไม่ได้แล้ว”
เฉินวั่งซูได้ยินก็หวิดจะกลั้นขำไม่อยู่ องค์ชายสามพูดจาน่าฟัง อนุญาตให้เขาตายช้าหน่อยได้!
คนในห้องได้ยินแล้วก็ล้วนหัวเราะครืนขึ้นมาทันที
ใบหน้าขององค์ชายเจ็ดเปลี่ยนจากเขียวเป็นแดง จ้องเฉินวั่งซูไม่วางตา ทว่านางอยู่ในห้องก็ยังสวมหมวกม่านแพร จึงมองไม่เห็นสีหน้าใดๆ โดยสิ้นเชิง ยิ่งเห็นไม่ชัดองค์ชายเจ็ดก็ยิ่งลังเลไม่แน่ใจ
“งานกวีเริ่มแล้ว คนเหล่านั้นล้วนกำลังรอเสด็จพี่อยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามพยักหน้า เดิมทีเขาก็แค่มาทักทายเป็นมารยาท บัดนี้ทักทายเสร็จย่อมจะต้องไป องค์ชายเจ็ดติดตามอยู่ด้านหลัง จ้องมองเฉินวั่งซูอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งแล้วถึงเดินจากไป
“คุณหนูเกาไม่ไปชมงานกวีหรือ” เฉินวั่งซูถอดหมวกม่านแพรลง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบโดยมิได้มองคนที่ยืนอยู่หน้าประตู
ก่อนหน้านี้เสแสร้งเป็นนานสองนาน ทำเอานางรู้สึกคลื่นไส้อยู่บ้าง
“ท่านคิดว่าแค่องค์ชายเจ็ดประทานภาพวาดให้ท่านก็หมายความว่าเห็นท่านสำคัญ? เฉินวั่งซู ข้าว่าท่านเหมือนเป็นคนโง่งม”
เฉินวั่งซูได้ยินก็หันไปด้วยสีหน้าคับข้องใจ มองเกามู่เฉิงด้วยความประหลาดใจ “ข้ากับท่านไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ไยต้องเอ่ยวาจาเหน็บแนมกันด้วย เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานย่อมมีญาติผู้ใหญ่จัดการ ท่านกับข้าล้วนมิมีทางเลือก เรื่องความรู้สึกของท่านข้าเองก็เคยได้ยินมา หากผู้ที่ฝ่าบาททรงมอบสมรสพระราชทานเป็นคุณหนูเกา ข้าจะต้องแสดงความยินดีและช่วยเติมสินเดิมให้ท่านด้วยอย่างแน่นอน โทสะทำร้ายร่างกายและทำให้เสียภาพพจน์ ท่านมีเรื่องใดก็นั่งลงคุยกันดีๆ จะดีกว่า”
เฉินวั่งซูพูดพลางกะพริบตาเบาๆ ขนตาสั่นไหวน้อยๆ
เจียงไท่กงตกปลา ปลาตัวแรกมาติดเบ็ดแล้ว
ปัจจุบันฮ่องเต้มีพระโอรสทั้งหมดแปดพระองค์ ในจำนวนนั้นมารดาขององค์ชายสามและองค์ชายแปดล้วนมาจากจวนอัครมหาเสนาบดีเกา
ต้าเกาซื่อ ผู้เป็นมารดาขององค์ชายสามบัดนี้ได้รับการสถาปนาเป็นกุ้ยเฟย เป็นผู้นำของพระสนมชั้นเฟยทั้งสี่ ฮองเฮามิได้มีพระโอรส องค์ชายสามจึงถือเป็นตัวเลือกรัชทายาทที่ได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุดในยามนี้
ต้าเกาซื่อได้เป็นสนมของฮ่องเต้ตั้งแต่ยังมิได้ขึ้นครองราชย์ บัดนี้อายุไม่น้อยแล้วย่อมจะมิได้รับความโปรดปรานเท่าขณะยังสาว
ด้วยเหตุนี้สกุลเกาจึงส่งเสี่ยวเกาซื่อเข้าวังอีกคน ซึ่งเสี่ยวเกาซื่อก็ได้ให้กำเนิดองค์ชายแปด
เกามู่เฉิงผู้นี้มีจิตปฏิพัทธ์ต่อองค์ชายเจ็ด อยากได้ตำแหน่งพระชายามานานแล้ว ทว่าสกุลเกาให้กำเนิดพระชายาองค์ชายสามไม่ได้ก็ย่อมต้องเล็งตำแหน่งพระชายาองค์ชายแปด มีหรือจะยอมปล่อยให้นางแต่งงานกับองค์ชายที่มิได้เป็นที่โปรดปรานเช่นองค์ชายเจ็ด
แต่เดิมเฉินวั่งซูมิได้รู้เรื่องเหล่านี้ ทว่าสุดท้ายก็รู้เนื่องจากหลังจากนางได้รับสมรสพระราชทาน เกามู่เฉิงเที่ยวอาละวาดไปทั่ว สร้างอุปสรรคขัดขวางบ้านใหญ่สกุลเฉินจนหวิดจะทำให้การแต่งงานของพี่ชายนางล่ม ในงานเลี้ยงน้ำชางานหนึ่งเฉินวั่งซูก็หวิดจะถูกสหายของอีกฝ่ายผลักตกลงแม่น้ำ ทำให้ขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล
แม้จะไม่เคยพบหน้า แต่ชื่อเสียงอันเลื่องลือของเกามู่เฉิงนั้นดังก้องหูนางเลยทีเดียว
“ยามนี้พี่เยี่ยเฉินของข้าก็มิอยู่แล้ว ท่านแสร้งทำตัวเป็นกุลสตรีให้ใครดู” อีกฝ่ายพูดพลางเบ้าตาแดง ยิ้มเยาะตนเองก่อนกล่าวอีกว่า “พี่เยี่ยเฉินต้องการแต่งนางจิ้งจอกผู้หนึ่งเข้าประตูจวนสุดหัวจิตหัวใจ ถึงเวลานั้นท่านก็รอน้ำตาตกได้เลย ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานเขาไปที่ป่าท้อกับใคร เขาเป็นบุรุษอกสามศอก จะต้องการยาทาหน้าไปทำกระไร ก็แค่ขอไปประเคนให้นางจิ้งจอกนั่นก็เท่านั้นเอง”
องค์ชายเจ็ดทรงมีแซ่ว่าเจียง พระนามว่าเจียงเยี่ยเฉิน