ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน
ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 97
บทที่ 97 ความยับยั้งชั่งใจ
ทันทีที่ได้ยินเสียงของอวี๋เหวินจวิ้น อวี๋ชิงจยาก็ตกใจ นางรีบหันกลับไป เห็นบิดายืนอยู่ด้านหลังราวระเบียงด้วยหน้าตาบึ้งตึง ท่าทางจริงจัง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความใกล้ชิดระหว่างพวกเขาสองคนเมื่อครู่นี้ถูกอวี๋เหวินจวิ้นมองเห็นทั้งหมด อวี๋ชิงจยาแก้มแดงก่ำ นางคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันให้นางครุ่นคิด อวี๋เหวินจวิ้นก็กล่าวขึ้นอีกว่า “จยาจยา เมื่อครู่นี้ไป๋จื่อตามหาเจ้า เจ้ากลับไปดูว่าทางนั้นเกิดอะไรขึ้นเถิด”
อวี๋ชิงจยายังอยากจะอธิบาย
มู่หรงเหยียนโอบไหล่ของอวี๋ชิงจยาจากด้านหลัง แล้วดันนางออกไปอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง “ที่นี่เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้ากลับไปก่อน”
อวี๋ชิงจยามองอวี๋เหวินจวิ้นแล้วมองมู่หรงเหยียน สุดท้ายก็จากไปตามแรงดันของมู่หรงเหยียน หลังจากเดินออกไปได้สองก้าวนางก็หันกลับมาอย่างไม่วางใจ และกล่าวเสียงเบากับมู่หรงเหยียน “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ”
มู่หรงเหยียนพยักหน้า แล้วมองดูนางจากไป อวี๋ชิงจยาค่อยๆ เดินจากไปไกล อวี๋เหวินจวิ้นกับมู่หรงเหยียนต่างมองเงาหลังของนาง ไม่มีใครพูดจา
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งลมพัดกลิ่นหอมที่หลงเหลืออยู่ในอากาศออกไป อวี๋เหวินจวิ้นที่สายตายังคงจ้องมองไปทางที่อวี๋ชิงจยาจากไปก็กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “ในวันที่จยาจยาเกิด ข้าถูกเหล่าจวินส่งตัวออกไปโดยอ้างว่า ‘เยี่ยมผู้อาวุโส’ ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าอวี๋ซื่อใกล้จะคลอด ข้าคิดว่ารอข้ากลับมาก็จะทันนางคลอดพอดี แต่รอให้ข้าปลีกตัวกลับมาได้ในที่สุดก็เพิ่งรู้จากปากของสาวใช้ว่าอวี๋ซื่อคลอดลูกแล้ว นางทรมานตลอดหนึ่งวัน ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน พวกนางอุ้มจยาจยามาให้ข้าดู ตอนนั้นนางยังตัวใหญ่ไม่เกินฝ่ามือข้า ข้าแทบจะไม่กล้าเชื่อว่านี่คือบุตรสาวของข้า
ตอนอวี๋ซื่อตั้งครรภ์ เดิมนางร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ยังถูกเหล่าจวินจงใจชะลอการคลอด ทำให้นางเจ็บปวดตลอดทั้งวันจนให้กำเนิดจยาจยาได้ในที่สุด แม้ว่าสุดท้ายแม่ลูกจะปลอดภัย แต่หลังจากเหตุการณ์นี้อวี๋ซื่อก็เลือดลมเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก ตอนนั้นข้าจึงรู้ว่านี่คงจะเป็นลูกเพียงคนเดียวของข้ากับอวี๋ซื่อ ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่สามีที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตอนที่พวกนางแม่ลูกเดินผ่านประตูยมโลก ข้าที่เป็นทั้งสามีและพ่อคนถูกย่าของตนเองกีดกันออกไป ไม่ได้อยู่เคียงข้างพวกนางในเวลาที่พวกนางต้องการข้ามากที่สุด มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าจยาจยาได้ออกมาดูโลกนี้แล้ว ข้าผิดต่ออวี๋ซื่อไปแล้ว ต่อจากนี้ข้าก็จะติดค้างนางไปทุกภพทุกชาติ ข้าไม่ใช่สามีที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ดังนั้นข้าจึงจะไม่กลายเป็นพ่อที่ขาดคุณสมบัติอย่างเด็ดขาดขอรับ”
คำพูดเหล่านี้อวี๋เหวินจวิ้นไม่เคยพูดกับใครมาก่อน นี่คือความเจ็บปวดและความละอายใจที่ลึกที่สุดในใจเขา แต่เช้าวันนี้หลังฝนตก เขาได้เปิดรอยแผลของตนให้มู่หรงเหยียนดูทีละจุด “คุณชาย ข้ารู้ว่าท่านไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนนั้นแค่ได้ยินคำเล่าลือ หนึ่งปีมานี้ได้เห็นกับตาตนเองจึงรู้ว่าข่าวลือนั้นไม่ได้โกหก ท่านเป็นอัจฉริยะในหลายด้าน ในด้านดนตรี ท่านสามารถฟังผ่านหูไม่ลืมเลือน ในด้านศิลปะการต่อสู้ ท่านเชี่ยวชาญด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ กลอุบายชั่วร้ายยิ่งโค่นท่านได้ยาก ท่านมีสติปัญญาเหนือผู้คน มีวินัยในตนเอง มีเหตุผลและความเด็ดขาด ทุกคนต่างรู้ว่าหากท่านขึ้นครองบัลลังก์ ภายหน้าจะต้องสำเร็จการใหญ่ ดังนั้นถึงองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ไปหลายปีเช่นนี้ คนที่สนับสนุนท่านกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ ใต้หล้าโกลาหลมานานเกินไปแล้ว พวกเรากำลังเฝ้ารอฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่อง”
มู่หรงเหยียนฟังอย่างสงบเยือกเย็นอยู่ตลอด จนถึงตรงนี้จึงค่อยเอ่ยด้วยท่าทางเรียบเฉย “เจ้าต้องการจะพูดอะไร”
อวี๋เหวินจวิ้นสีหน้าเคร่งขรึม หันมาโค้งคำนับให้มู่หรงเหยียน พูดด้วยคำพูดทางการ “หลางหยาอ๋อง กระหม่อมยินดีสละชีพอย่างไม่เสียดาย จงรักภักดีต่อพระองค์ด้วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเป็นห่วงบุตรสาว จยาจยาในวัยเด็กได้รับความทุกข์มามากแล้ว แม้ว่านางจะดูร่าเริงมีความสุข แต่ไม่เคยคบหาลึกซึ้งกับใครมาก่อน ยิ่งไม่สร้างปัญหาให้ใคร ทายาทรู้ความล้วนเป็นผลจากความผิดของพ่อแม่ แต่พ่ออย่างกระหม่อมเห็นแล้วเจ็บปวดใจยิ่ง นางมีนิสัยเช่นนี้ หากเข้าไปในราชวงศ์ ภายภาคหน้าแม้จะได้รับความไม่ยุติธรรมก็จะไม่มาพูดกับครอบครัวพ่ะย่ะค่ะ ไม่กลัวพระองค์หัวเราะเยาะ กระหม่อมขอพูดตามตรง หากบุตรเขยเป็นคนธรรมดา พ่อตาอย่างกระหม่อมก็สามารถออกหน้าให้บุตรสาวได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นพระองค์ จยาจยาได้รับความไม่ยุติธรรม แม้แต่จะสนับสนุนนางกระหม่อมก็ทำไม่ได้ หลางหยาอ๋อง โปรดเห็นใจในความเห็นแก่ตัวของพ่อคนหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่กล้าปฏิเสธตำแหน่งสูงที่เชื้อพระวงศ์มอบให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายเพิ่งแสดงความสนใจออกมา ยังไม่ทันบอกว่า ‘จะไม่แต่งกับใครนอกจากบุตรสาวท่าน’ บิดาก็รีบร้อนปฏิเสธเสียแล้ว ไม่ว่าใครก็ทนต่อความอัปยศอดสูเช่นนี้ไม่ได้ แต่มู่หรงเหยียนกลับนิ่งเงียบอยู่นาน
หากคำพูดของอวี๋เหวินจวิ้นเจือด้วยความเสแสร้งหรือใช้ประโยชน์จากอวี๋ชิงจยา มู่หรงเหยียนก็สามารถพูดกล่อมให้ตนเองเพิกเฉยได้ แต่เขาสามารถฟังอย่างเงียบๆ จนถึงตอนนี้ได้เพียงเพราะทุกถ้อยคำของอวี๋เหวินจวิ้นปราศจากความเห็นแก่ตัว ล้วนเป็นความหวังดีต่ออวี๋ชิงจยาที่ออกมาจากใจจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพที่ใครต่อใครเห็นกันนั้น การแต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์ถือเป็นเกียรติและรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง แต่บิดามารดาที่รักลูกอย่างแท้จริงจะไม่ยอมส่งบุตรสาวเข้าวังหลวง ต่อให้มู่หรงเหยียนจะพูดเอง เขาก็ไม่คิดว่าการแต่งเข้าสกุลมู่หรงเป็นสิ่งที่ดีแต่อย่างใด
ผู้คนต่างอิจฉาบุรุษสกุลมู่หรงที่มีตำแหน่งสูง ชำนาญการรบโดยกำเนิด แต่ละคนรูปโฉมงดงาม แต่มู่หรงเหยียนกลับรู้ว่าภายใต้พรสวรรค์เหล่านี้ แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร ตอนที่เขาพบอวี๋ชิงจยาครั้งแรกเมื่อเดือนสี่ปีที่แล้ว นางไม่รู้สถานะของเขา ได้หลุดพูดออกมาตอนมื้อค่ำว่าคนสกุลมู่หรงเป็นโรคหรือไม่ อวี๋เหวินจวิ้นตกตะลึงอย่างยิ่ง มองเขาด้วยความประหม่า กลัวว่าเขาจะลงโทษเพราะเรื่องนี้ มู่หรงเหยียนในตอนนั้นเห็นแก่หน้าของอวี๋เหวินจวิ้นจึงไม่ได้ลงโทษใดๆ แต่ที่จริงแล้วเขารู้ว่าอวี๋ชิงจยาพูดไม่ผิด