สกุลมู่หรงมีสายเลือดเซียนเปยอยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งแสดงออกมาภายนอกคือรูปร่างสูงเพรียว จมูกโด่ง และดวงตาลึก ที่มาของข้อบกพร่องนั้นไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่บุรุษสกุลมู่หรงแต่ละคนชอบการต่อสู้อย่างที่สุด ขี้ระแวงและจิตใจเปลี่ยนแปลงง่าย จนในภายหลังนิสัยที่ชอบการต่อสู้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกับชอบที่จะเห็นเลือดไหลกระฉูด และเพลิดเพลินกับความรู้สึกตื่นเต้นที่มาจากการเข่นฆ่า นี่ไม่ใช่สภาวะปกติอย่างแน่นอน ตัวมู่หรงเหยียนเองก็รู้สึกว่าสายเลือดเช่นนี้ควรจะสูญสิ้นโดยเร็ว อย่าได้แพร่กระจายไปในใต้หล้าอีก
ข้อบกพร่องทางอารมณ์ของเขารุนแรงเป็นพิเศษ ดังนั้นแค่คิดก็รู้ว่าบุตรชายของเขาจะต้องเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวตั้งแต่แรกเกิด หากเปลี่ยนเป็นตัวมู่หรงเหยียน เขาก็ไม่เต็มใจที่จะให้บุตรสาวแต่งงานกับคนเช่นนี้
หากเป็นในอดีต เมื่อมู่หรงเหยียนพบกับสิ่งที่ชอบ ต่อให้ถูกทำลายก็ต้องคว้าเอามาอยู่ในมือของตนให้ได้ อย่างไรก็ตามความชอบคือการกระทำตามอำเภอใจ การครอบครอง และการทำลาย แต่ความรักคือความยับยั้งชั่งใจ เมื่อเจอสิ่งที่ชอบก็จะต้องการครอบครองนางให้ได้ แทบอยากจะมัดนางไว้ข้างกายตนเองตลอดทั้งวัน แต่เมื่อชอบสิ่งนี้มากๆ และทุ่มเทความรู้สึกมากเกินไปก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เอาแต่กังวลว่านางมีความสุขหรือไม่ การกระทำของตนจะทำร้ายนางหรือไม่
มู่หรงเหยียนนึกถึงความฝันเมื่อคืน หากตัวเขาในอนาคตไม่สามารถปกป้องนางได้ เช่นนั้นจะยังมีคุณสมบัติใดมาครอบครองนาง ให้นางต้องมารอเขา ในความฝันอวี๋ชิงจยาตายเพราะเขา ต่อให้เขาฆ่าล้างทั้งสกุลอวี๋หลังจากนั้นจะไปมีประโยชน์อะไร
การหวงแหนมากเกินไปจะทำให้เขาไม่สามารถรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียได้ นี่คือสิ่งที่มู่หรงเหยียนไม่สามารถนึกภาพออกได้ ในอดีตเขาเคยถูกใจม้าบรรณาการตัวหนึ่ง ตอนที่ฉางซานอ๋องมาขอจากเขา มู่หรงเหยียนเลือกที่จะฆ่ามัน แต่ตอนนี้เขากลับค่อยๆ ปล่อยสิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุดในชีวิตไปจากมือตนเอง
มู่หรงเหยียนได้ยินแล้วกล่าว “ดี”
อวี๋ชิงจยาเคยบอกว่าสามีในอนาคตของนางต้องเป็นคนเที่ยงตรง ใจดี อ่อนโยน และกตัญญูเหมือนกับบิดาของนาง เขาเคยดูแคลนและใช้คำเหล่านี้มาโต้แย้งนาง แต่ตอนนี้เขายอมถอยให้คนที่นางชอบก็ได้…หากว่านี่คือลักษณะของสามีที่นางเฝ้าปรารถนา
ในจวนสกุลอวี๋ อวี๋ชิงหย่ากำลังมองคนในคันฉ่องอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นนางก็จับคันฉ่องอย่างแรง เป็นสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นนี้อีกแล้ว ตัวนางเมื่อชาติที่แล้วก็ด้านชา เหนื่อยล้า และมีความคิดแย่ๆ เช่นนี้ แต่ไม่รู้เลยว่าจะแก้ไขอย่างไร อวี๋ชิงหย่ารู้สึกหวาดกลัว นางตะโกนเรียกในใจ ‘ระบบ!’
‘โฮสต์’
เพิ่งจะสิ้นเสียงระบบ อวี๋ชิงหย่าก็ถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ‘อวี๋ชิงจยาตามอวี๋เหวินจวิ้นย้ายออกไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้’
‘นี่เป็นเรื่องปกติมาก’ ระบบกล่าว ‘ในโลกยุคหลังมีคำนามเฉพาะที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ‘ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก’* หลักการโดยละเอียดเดาว่าโฮสต์คงจะไม่สนใจ ดังนั้นข้าจะอธิบายถึงข้อสงสัยในตอนนี้ของโฮสต์โดยตรง ชาติที่แล้วอวี๋เหล่าจวินไม่ได้ป่วย ถึงแม้หลิ่วหลิวซูจะถูกรับมาที่สกุลอวี๋เช่นเดียวกัน แต่ก็แค่มาขอพักอาศัย ไม่ได้เกิดเหตุการณ์อื่นๆ ดังนั้นอวี๋เหวินจวิ้นจึงไม่ได้ทะเลาะกับอวี๋เหล่าจวิน ย่อมไม่มีทางแยกไปอยู่ตามลำพัง ในโลกนี้โฮสต์ได้เข้ามามีส่วนร่วม เปลี่ยนแปลงวิถีของสิ่งต่างๆ มากมาย จึงนำไปสู่บทสรุปที่แตกต่างกันนับไม่ถ้วน อวี๋เหวินจวิ้นกับอวี๋ชิงจยาย้ายออกจากสกุลอวี๋ก็คือหนึ่งในนั้น’
อวี๋ชิงหย่าไม่ได้สนใจทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกจริงๆ นางไม่อยากรู้ความรู้ใหม่เอี่ยมที่มาจากอนาคตเหล่านี้แม้แต่น้อย นางเพียงสนใจว่าทำอย่างไรจึงจะแย่งชิงโอกาสวาสนาของอวี๋ชิงจยาได้ อวี๋ชิงหย่าเข้าใจคำอธิบายของระบบเพียงเล็กน้อย อย่างน้อยนางก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง มีหลายสิ่งที่แตกต่างออกไปในชาตินี้ สิ่งที่ประสบพบเจอในชาติที่แล้วใช่ว่าจะเป็นจริงในชาตินี้
อวี๋ชิงหย่าขมวดคิ้ว หลังจากคิดอยู่นานก็ถามขึ้น ‘อวี๋ชิงจยาย้ายออกไป ข้าไม่สามารถมองเห็นว่านางกำลังทำอะไรอยู่ หากนางฉวยโอกาสพบกับหลางหยาอ๋องในช่วงเวลานี้จะทำเช่นไรเล่า’
ระบบเงียบไป มันวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว ‘ขอบเขตที่โฮสต์กำหนดกว้างเกินไป ระบบไม่สามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้ออกมาได้ โฮสต์โปรดใช้วิจารณญาณด้วยตนเอง’