อวี๋ชิงจยาสุดจะทน ถอนหายใจคราหนึ่งแล้วกล่าว “พระชายาดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็จะไม่อ้อมค้อมเพื่อไว้หน้าอีกต่อไปแล้ว ขอพูดกับพระชายาตามตรงนะเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ชอบก่วงผิงอ๋อง ยิ่งไม่คิดที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นพระชายาไม่จำเป็นต้องเอาชนะใจหม่อมฉันไปพลางกดดันหม่อมฉันไปพลางหรอกเพคะ พระชายามีเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้ มิสู้เอาไปใช้กับเหล่าสตรีในจวนอ๋องจะดีกว่า หม่อมฉันไม่ได้มีความคิดที่จะแต่งเข้าราชวงศ์ ภายหน้าก็จะไม่สร้างภัยคุกคามให้พระชายา พระชายาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองสติปัญญาเลยเพคะ”
หลังจากที่อวี๋ชิงจยาพูดจบก็มองหน้าพระชายาซ่งเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าหนีแล้วเดินออกไป พระชายาซ่งมองแผ่นหลังของอวี๋ชิงจยาอย่างตกตะลึงและไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า นางเรียกอีกฝ่ายหลายครั้ง อวี๋ชิงจยาก็ทำเป็นไม่ได้ยินและก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่ออวี๋ชิงจยาเดินออกจากตำหนักข้าง นางกำนัลทั้งสองฝั่งที่เดินไปมาเห็นอวี๋ชิงจยาก็รีบทำความเคารพและหลีกทางอย่างรวดเร็ว วันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ดี จัดงานเลี้ยงกับเหล่าขุนนางที่ตำหนักถงเชวี่ย เจ้าหน้าที่ในเมืองหลวงตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไปและคนในครอบครัวสามารถมาเข้าร่วมได้ทั้งหมด งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เหล่านางกำนัลและขันทียุ่งวุ่นวายกันทุกที่ บ้างก็จัดจานบ้างก็วางภาชนะ ดูรีบเร่งจัดเตรียมข้าวของกัน
ขณะนี้งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม เหล่าบุรุษรออยู่ในท้องพระโรง ส่วนญาติที่เป็นสตรีรออยู่ในห้องโถงกลางสวนดอกไม้ทางด้านหลัง อวี๋ชิงจยาที่ผละมาจากพระชายาซ่ง ภายในใจนางมีโทสะคุกรุ่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่อยากไปอยู่ในที่ที่คนเยอะเช่นห้องโถงกลางสวน จึงพาสาวใช้เดินบนสะพานเชื่อมทั้งสองด้านของตำหนักถงเชวี่ยอย่างไร้จุดหมาย
ตอนนี้รอบข้างไม่มีใครอยู่ อวี๋ชิงจยาจึงบริภาษในใจ เสียสติกันหมดแล้ว พระชายาซ่งกับก่วงผิงอ๋องช่างหลงตนเองเสียเหลือเกิน ตอนนี้แค่มีข่าวลือว่าจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ ยังไม่ทันได้เป็นรัชทายาทด้วยซ้ำ ก็วางท่าเป็นพระชายารัชทายาทแล้ว น่าตลกจริงๆ พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นใคร หรือคิดว่าทุกคนต้องกระตือรือร้นที่จะลดตัวแต่งเข้าจวนก่วงผิงอ๋องในฐานะพระชายารอง
อวี๋ชิงจยาจับราวสะพานสีแดงแล้วถอนหายใจยาว ในที่สุดก็รู้สึกว่าความกลัดกลุ้มในใจได้คลี่คลายลงบ้าง ทว่าหลังจากคิดในใจจนจบแล้ว นางกลับตกอยู่ในความสับสนและความเศร้าใจ แม้ว่านางจะดูแคลนการวางท่าของพระชายาซ่ง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระชายาซ่งมีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นพระชายารัชทายาทในอนาคต ฮองเฮาในยามนี้ไม่แยกแยะถูกผิดและพูดคุยหยอกล้อกับขุนนางอย่างไม่เกรงข้อครหา กระทั่งพระชายารัชทายาทในวันข้างหน้าก็เป็นคนเจ้าแผนการและปากกับใจไม่ตรงกัน สตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดทั้งสองของเป่ยฉียังเป็นเช่นนี้ ภายภาคหน้าวังหลวงจะเป็นเช่นไร
อวี๋ชิงจยาพูดไม่ออกเป็นเวลานาน นางก้มหน้ามอง มีฐานรองสิ่งปลูกสร้างสูงจากพื้นดินหนึ่งจั้งและมีหอสูงห้าชั้นสร้างอยู่บนฐานนี้ รวมเป็นยี่สิบกว่าจั้ง หอสูงล้วนตกแต่งด้วยทองคำและทองแดง ยามแสงอรุโณทัยสาดส่องจะเปล่งประกายเรืองรองทั่วทุกสารทิศ ด้านหน้าและหลังฐานมีหอสูงทั้งหมดสามหลัง ซึ่งหอที่อวี๋ชิงจยาอยู่นั้นคือหอที่งดงามที่สุดในบรรดาหอสูงทั้งสาม หลังคาของหอเกยซ้อนทับกัน ระหว่างหอเชื่อมต่อกันด้วยสะพานที่มีหลังคาราวกับวิมานสวรรค์ นอกจากนี้บนยอดหลังคายังหล่อรูปปั้นนกยูงทองแดงซึ่งดูสมจริงราวกับมีชีวิต อยู่ในท่ากางปีกพร้อมโบยบิน จึงมีชื่อเรียกว่าตำหนักถงเชวี่ย
อวี๋ชิงจยาจับราวสะพานสีแดงตรงตำหนักถงเชวี่ยแล้วกวาดตามองลงไป เห็นนางกำนัลบนพื้นดินมีขนาดเล็กราวกับมด ครั้นมองไปไกล ใต้ขั้นบันไดหินที่ทำจากหินอ่อนขาว น้ำจากแม่น้ำจางไหลผ่านทางช่องระบายน้ำที่ล้อมรอบตำหนักถงเชวี่ยก่อนมารวมกันที่สระเสวียนอู่ ใจกลางสุดมีเส้นทางทอดยาวสายหนึ่งเชื่อมต่อระหว่างวังหลวงและโลกภายนอก เล่ากันว่าแม่น้ำจางในช่วงบ้านเมืองเฟื่องฟูสามารถฝึกฝนกองทัพเรือได้ พอจะจินตนาการได้ถึงเงินทองมหาศาลที่ใช้ไปกับสถานที่แห่งนี้ออก ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่วังหลวง ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ของฮ่องเต้เท่านั้น แต่ยังเป็นป้อมปราการทางการทหารที่มีประโยชน์รอบด้าน มีความสามารถในการรุกและป้องกัน
อวี๋ชิงจยามองดูวังหลวงอันโอ่อ่าตระการตาที่อยู่เบื้องล่าง และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
ไป๋หรงยืนแขนแนบลำตัวมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้ามาเตือนเงียบๆ “คุณหนู ใกล้ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว”
“รู้แล้ว” อวี๋ชิงจยาพยักหน้า เหลือบมองภาพตระการตาที่อยู่เบื้องล่างเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันกลับมากล่าว “ไปกันเถอะ”