แม้เป็นการก่อกบฏจริงๆ แต่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนคำเรียกใหม่ให้ดูน่าฟัง ตัวอย่างเช่น สังหารขุนนางโฉดข้างพระวรกายฮ่องเต้ คืนความบริสุทธิ์แก่ฝ่าบาท นี่ถึงจะเป็นเหตุผลที่ดีในการยกทัพ ทหารที่ประจำการในตำหนักถงเชวี่ยถูกสยบด้วยความฮึกเหิมของอีกฝ่าย ทหารทัพหน้าจำต้องถอยหลังสองก้าวอย่างช่วยไม่ได้
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ตะโกนเสียงดัง สุดท้ายก็ชักดาบออกมาพร้อมกับตะโกนว่า “เผชิญศึกแต่กลับหนี จะถือว่าเป็นทัพกบฏเช่นเดียวกัน ผู้ใดที่ยังถอยอีก ให้ฆ่าเสีย!”
ด้วยการป้องปรามจากคำสั่งทหาร ทำให้การล่าถอยของทหารรักษาการณ์หยุดลงในที่สุด เพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่ฝ่ายตน ผู้เป็นหัวหน้าจึงตะโกนท้าทาย “ในเมื่อเจ้ามาเพื่อช่วยเหลือฝ่าบาท เหตุใดจึงไม่กล้าแสดงใบหน้าที่แท้จริงเล่า เจ้าสวมหน้ากากอยู่เช่นนี้ พวกข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นคนหรือผี ทำตัวปิดบังอำพราง จะต้องเป็นพวกชั่วร้ายแน่”
คำพูดของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ได้ยั่วโทสะคนฝั่งตรงข้าม มีหลายคนจ้องมองมาด้วยความโกรธแค้น เห็นได้ชัดว่าในด้านพละกำลังหรือความสมัครสมานสามัคคี กองทหารของราชสำนักล้วนด้อยกว่ากลุ่มคนที่พวกเขาเรียกว่า ‘กองทัพกบฏ’ มาก
ทว่าผู้ที่ถูกพาดพิงกลับหัวเราะหึ เขาจับบังเหียนไว้แน่น แล้วควบม้าออกจากการคุ้มกัน
คนที่อยู่ทางซ้ายขวาของเขารีบเข้ามาปราม เรียกเบาๆ ว่า “คุณชาย”
ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเงินชูมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ คนทั้งสองข้างจึงได้แต่หลบออกไป มองดูเขาค่อยๆ ออกจากการคุ้มกันของกองทัพไปต่อหน้าต่อตา
เขาหยุดอยู่ตรงพื้นที่โล่งระหว่างกองทัพทั้งสอง ไม่เพียงกองทัพด้านหลังเขาที่กำดาบไว้แน่นอย่างเงียบๆ แม้แต่ทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ก็เป็นกังวลเช่นกัน พวกเขายกหอกยาวขึ้นสูงและตั้งโล่ จัดกระบวนทัพอย่างแน่นหนาเตรียมรับมือ
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ผู้ที่สวมชุดเกราะสีเงินยกมือขึ้นช้าๆ มาจับหน้ากากของตนไว้ ขณะเดียวกันเสียงของเขาก็ดังลอดหน้ากากออกมาอย่างเย็นชา “ข้าเป็นบุตรชายสายตรงของรัชทายาทเฉิงเต๋อ หลางหยาอ๋องที่หมิงอู่ฮ่องเต้พระราชทานศักดินาพันครัวเรือนด้วยพระองค์เอง นามของข้าคือมู่หรงเหยียน…พวกเจ้าว่าข้าสามารถกำจัดคนทรยศข้างพระวรกายฝ่าบาทเพื่อปรับความเข้าใจหรือไม่”
เมื่อสิ้นคำ ปุ่มลับที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้ากากก็ถูกปลดออก หน้ากากเหล็กแยกเขี้ยวหลุดออกจากใบหน้าของเขา…
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์คิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง เช่นคนตรงหน้าผู้นี้แสร้งทำทีเป็นลึกลับ เจตนาใช้ท่าทางและน้ำเสียงข่มขู่คนให้กลัวเกรง หรือไม่ก็เป็นเพราะใบหน้าของคนผู้นี้เสียโฉมจึงต้องใช้หน้ากากปกปิดไว้ จนกระทั่งได้เห็นตัวจริงเบื้องหลังหน้ากาก หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง คนอื่นๆ พากันส่งเสียงร้องอุทาน กระบวนทัพพลันสับสนวุ่นวาย
ในเวลานี้มีใครไม่รู้ตะโกนออกมาจากกลุ่มทหารรักษาพระองค์ว่า “หลางหยาอ๋องมีน้ำเสียงไพเราะเสนาะหูและหน้าตาที่งดงามยิ่ง นี่ก็คือหลางหยาอ๋อง หลางหยาอ๋องเสด็จกลับมาทวงความยุติธรรมให้รัชทายาทเฉิงเต๋อแล้ว!”
ประโยคนี้ราวกับก่อให้เกิดคลื่นลมบางอย่าง ทหารในราชสำนักดูกระสับกระส่ายว้าวุ่นใจอย่างเห็นได้ชัด
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เกิดจิตสังหารทันทีที่เห็นใบหน้าของมู่หรงเหยียน เขารู้เช่นกันว่ารูปลักษณ์ที่สะดุดตาเช่นนี้เป็นของหลางหยาอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย เขาหยิบธนูออกมาเล็งมู่หรงเหยียนในขณะที่ทุกคนยังไม่เตรียมพร้อม
ทว่ามู่หรงเหยียนราวกับรู้ล่วงหน้า โดยไม่รอให้หัวหน้าทหารปล่อยนิ้วมือจากลูกธนู ลูกดอกของมู่หรงเหยียนก็ยิงเข้าอกของเขาแล้ว เมื่อถูกยิง ร่างนั้นก็ร่วงลงมาจากหลังม้า มู่หรงเหยียนชูหน้าไม้ขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างออกแรงสะบัดอย่างรวดเร็ว จากนั้นขี่ม้านำหน้าไปที่วังหลวง ทหารใบหน้าดำเข้มรูปร่างกำยำด้านหลังเขาชูหอกขึ้นสูงแล้วพุ่งไปข้างหน้าตามผู้เป็นเจ้านาย พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “หลางหยาอ๋องกลับเมืองหลวง กำจัดคนทรยศข้างพระวรกายฝ่าบาท!”
มู่หรงเหยียนบุกลุยเดี่ยวเข้าไปกลางกองทัพศัตรู กวัดแกว่งดาบด้วยมือข้างเดียว ชั่วพริบตาก็ล้มคนรอบตัวได้หนึ่งแถว ฉางต้าพยายามไล่ตามสุดชีวิตเพื่อคุ้มครองมู่หรงเหยียน แต่หลังเขาเปลืองแรงมาครึ่งค่อนวันก็พบว่ากองทัพที่ฮ่องเต้ภาคภูมิใจ เมื่ออยู่เบื้องหน้ามู่หรงเหยียนล้วนพินาศย่อยยับอย่างง่ายดายราวกับหั่นผักกุยช่าย บุกทะลวงอย่างไร้ผู้ต้านทาน ฉางต้ากลัดกลุ้มใจนัก ให้บอกว่าเขาคอยปกป้องมู่หรงเหยียนอยู่ข้างๆ มิสู้บอกว่าเขาหลบอยู่ข้างหลังมู่หรงเหยียนเพื่อคอยอุดช่องโหว่เสียดีกว่า สิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือการลงดาบย้ำใส่คนที่ถูกมู่หรงเหยียนฟันไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง
มู่หรงเหยียนเป็นดั่งใบมีดที่แหลมคม ไม่นานก็ตัดฝ่าทหารรักษาพระองค์ของฮ่องเต้ที่จัดวางกำลังอย่างแน่นหนาออกเป็นสองซีก ฉางต้ายกหอกยาวขึ้นมาขว้างใส่ลูกกระเดือกของทหารนายหนึ่ง จากนั้นดึงอาวุธออกมาแล้วไล่ตามมู่หรงเหยียนอย่างกระหืดกระหอบ “คุณชาย ท่านบุกเร็วเกินไปแล้วขอรับ เหตุใดท่านถึงล้มคนตั้งมากมายในครั้งเดียว ตลอดทั้งวันทั้งคืนแทบจะไม่ชะลอความเร็วเลยขอรับ…”