มู่หรงเหยียนยื่นมือไปเช็ดเลือดตรงคาง เขารั้งบังเหียน แล้วเงยหน้ามองไปยังตำหนักถงเชวี่ยที่สูงตระหง่านเบื้องหน้า
ฉางต้าเพียงถามไปอย่างนั้นเอง เมื่อเขาเห็นการเคลื่อนไหวของมู่หรงเหยียนที่กำลังเช็ดเลือดบนใบหน้าของตนเองก็เผยสีหน้าเหม่อลอย ถึงกับลืมเอ่ยประโยคที่เหลือไปในทันที มู่หรงเหยียนไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขากล่าว “ก็ไม่ยากเย็นอะไร เจ้าแค่ฝึกดาบในแบบที่ชอบก็ทำได้แล้ว”
หลังพูดจบ ฉางต้าที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ได้ตอบรับใดๆ มู่หรงเหยียนหยิบหน้ากากออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สวมหน้ากากดุร้ายแยกเขี้ยวที่น่ากลัวพอจะทำให้เด็กเล็กร้องไห้ลงบนหน้าของตนเองอีกครั้ง
คนเถื่อนอย่างฉางต้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ คิดไปเองว่าได้ฝึกฝนการต่อสู้ต่างๆ จนแตกฉาน คิดไม่ถึงว่าจะมีช่วงเวลาที่มองคุณชายแล้วเผลอเหม่อลอยไปได้ เขาหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะกล่าวด้วยความกังวล “ไหนเลยข้าจะเทียบคุณชายได้ขอรับ คุณชายคือผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์ สิบแปดศัสตราวุธ* แค่หยิบจับขึ้นมาก็เชี่ยวชาญ หลายวันก่อนเจิ้งเอ้อร์ยังระบายความทุกข์กับข้าว่าเขาแสดงวิชาทวนที่สืบทอดจากบรรพบุรุษตนเองต่อหน้าคุณชาย คิดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ต่อให้เขาเอาทวนหงอิง** ออกมาใช้ก็ยังสู้คุณชายไม่ได้ขอรับ” เขาเอ่ยต่อว่า “ตอนนี้พวกเราบุกเข้าเมืองเยี่ยเฉิงแล้ว ทหารชั้นดีของฮ่องเต้ก็ถูกพวกเราจัดการไปครึ่งทาง เหลือแค่ตำหนักถงเชวี่ยกับสะพานแม่น้ำจาง จะมีฝีมือสักเท่าไรกันเชียว คุณชาย อีกไม่นานท่านก็จะได้แก้แค้นศัตรูตัวฉกาจแล้วขอรับ”
ประกาศนามอย่างเปิดเผย บุกโจมตีเมืองเยี่ยเฉิง ไม่รู้ว่าคนของตำหนักบูรพาเฝ้ารอวันนี้มานานเพียงใด แม้แต่คนหยาบกระด้างอย่างฉางต้าก็ยังตื่นเต้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แต่มู่หรงเหยียนที่เป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกลับสงบเยือกเย็นจนดูผิดปกติ เขาไม่มีความคิดที่จะแสดงความรู้สึกในใจหรือการทอดถอนใจแม้แต่น้อย เพียงควบม้าไปข้างหน้า “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ รอให้ถึงตอนที่ยืนต่อหน้าฮ่องเต้แล้วค่อยพูดคำนี้”
แค่คลาดสายตาแวบเดียวมู่หรงเหยียนก็นำไปไกลแล้ว ฉางต้าจึงรีบควบม้าไล่ตามไป ขณะที่มาถึงตรอกแห่งหนึ่ง มู่หรงเหยียนที่กำลังควบม้าอย่างรีบร้อนกลับหยุดกะทันหัน ฉางต้ารีบรั้งบังเหียนม้า แล้ววิ่งเหยาะๆ กลับมา “คุณชาย เกิดอะไรขึ้นขอรับ”
มู่หรงเหยียนจ้องมองเข้าไปในตรอกอย่างลึกซึ้ง เขาจำได้ว่าเมื่อครู่นี้มีรถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านมาจากทางนี้ หากช้าอีกเพียงนิดเดียว รถม้าคันนี้จะต้องเผชิญกับการรบราฆ่าฟันของกองทัพทั้งสอง มู่หรงเหยียนย่อมไม่ใส่ใจความเป็นความตายของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว แต่ตอนที่ม่านรถม้าเผยอขึ้นเมื่อครู่นี้ เขามองเห็นอวี๋ชิงจยาอยู่รางๆ
เดิมทีเห็นแค่ใบหน้าด้านข้างเพียงแวบเดียว กอปรกับมู่หรงเหยียนอยู่ห่างไกล การจะมองเห็นใบหน้าคนให้ชัดย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังมั่นใจว่าเป็นนาง
ฉางต้าก็มองเข้าไปในตรอกเช่นกัน มองอยู่นานแล้วก็ยังไม่พบเห็นสิ่งใด เขาฉงนสนเท่ห์จึงถามขึ้นอีกครั้ง “คุณชาย ท่านมองอะไรอยู่กันแน่ขอรับ ฮ่องเต้ยังมีชีวิตรอดอยู่ในวังหลวงนะขอรับ”
มู่หรงเหยียนถอนสายตากลับมากล่าว “ช่างเถอะ จะรู้ช้าหรือเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี ถึงอย่างไรก็หลอกนางมาตั้งหลายครั้งแล้ว มีเรื่องหนนี้อีกจะเป็นไรไป”
“อะไรนะขอรับ”
“ไม่มีอะไร” มู่หรงเหยียนพลันกระชากบังเหียนแล้วพุ่งออกไปราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากสาย “ในการศึก ความเร็วคือสิ่งสำคัญ อย่ามัวชักช้าอยู่เลย อีกเดี๋ยวข้ามีธุระต้องไปทำต่อ”
ฉางต้าสับสนขึ้นเรื่อยๆ เขาชะโงกหน้ามองเข้าไปในตรอกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกระทุ้งม้าไล่ตามมู่หรงเหยียน ขณะที่ฉางต้าไล่ตามไปนั้น ในใจก็บ่นไปด้วย อารมณ์ของคุณชายช่างคาดเดาไม่ถูกจริงๆ บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนทันที เห็นชัดๆ ว่าคุณชายเป็นฝ่ายหยุดอยู่ที่นั่นกะทันหัน มองอะไรอยู่ตั้งนานสองนานก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายคนที่ถูกด่ากลับเป็นข้าฉางต้าเสียอย่างนั้น ที่น่าแปลกกว่านั้นคือนอกจากล้อมโจมตีตำหนักถงเชวี่ยแล้วยังมีธุระอย่างอื่นอีกหรือ เหตุใดคุณชายจึงกล่าวเช่นนี้ ราวกับว่าเขาจะไปทำธุระที่สำคัญมากๆ หลังจากนี้ ส่วนการบุกตีวังหลวงเป็นเพียงเรื่องที่ต้องจัดการให้ผ่านไปเท่านั้น
ฉางต้าส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดอันประหลาดออกไป เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นอย่างที่กุนซือเหอกล่าวไว้ว่าผู้อยู่เบื้องบนไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือดีใจออกมาทางสีหน้า อยู่ข้างผู้เป็นใหญ่เหมือนอยู่ข้างพยัคฆ์กระมัง เห็นทีจะเป็นจริงดังคาด คุณชายของพวกข้าเกิดมาเพื่อเป็นเจ้านายคนโดยแท้
ทั่วทั้งเมืองเยี่ยเฉิงตกอยู่ท่ามกลางเสียงเข่นฆ่า เสียงร้องต่อสู้ ประตูข้างฝั่งตะวันตกและฝั่งใต้ถูกกองทัพกบฏ หรือเรียกอีกอย่างคือกองทัพของหลางหยาอ๋องร่วมประสานงานกันทำลายจากภายในและภายนอก จากนั้นหลางหยาอ๋องพาคนบุกวังหลวงด้วยตนเอง ส่วนคนอีกกลุ่มแยกออกไปสังหารกองทัพราชสำนักตามประตูเมืองแต่ละแห่ง เพื่อเปิดประตูเมืองให้คนของตนเองเข้ามาในเมือง