เดิมทีอวี๋ชิงจยาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติตั้งแต่ตอนเห็นฮองเฮาถูกวางยาพิษและสวรรคตไป ในที่สุดตอนนี้การคาดเดาอันเลือนรางในใจนางก็ได้รับการยืนยันในที่สุด อวี๋ชิงจยาทั้งตกตะลึงทั้งโกรธ แต่ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย หากคนผู้นั้นคือปีศาจจิ้งจอก เช่นนั้นอวี๋ชิงจยาก็สามารถเข้าใจการกระทำอันโหดร้ายทั้งหมดที่หลางหยาอ๋องได้ทำหลังจากยึดอำนาจแล้ว
ถึงอย่างนั้นอวี๋ชิงจยาก็อดลอบขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ เหตุใดปีศาจจิ้งจอกต้องสังหารหมู่สกุลอวี๋ทั้งหมดด้วย ในครอบครัวมีเพียงอวี๋เหวินจวิ้นที่รอดชีวิตอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะมองอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่เรื่องปกติ อีกทั้งหลังจากที่เขากุมอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว ทั้งที่แก้ไขความอยุติธรรมและกุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือแล้วแท้ๆ ไฉนถึงกลายเป็นทรราชเผด็จการไปได้ แม้ว่ามู่หรงเหยียนจะเป็นคนไร้เมตตาและโหดเหี้ยมเพียงใด แต่เขาก็ไม่ใช่คนทำอะไรตามอำเภอใจ เขามักจะมีเหตุผลในการทำสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ แท้จริงแล้วในภาพฝันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ถึงสามารถทำให้เขาละทิ้งเหตุผลต่างๆ ถึงขั้นละทิ้งความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ และเลือกทำลายล้างชีวิตผู้คนตามอำเภอใจ
อวี๋ชิงจยาคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจอยู่ดี นางถอนหายใจ เดิมคิดจะลุกขึ้นไปจุดตะเกียง แต่ขณะที่เดินไปถึงตรงหน้าต่าง นางกลับหยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว และมองไปยังวังหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือ ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกคงกำลังล้อมตีวังหลวงอยู่สินะ ถึงรู้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายอย่างแน่นอน แต่ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาเล่า
สายตาของอวี๋ชิงจยามองไปที่ล่วมยา นับตั้งแต่ที่นางได้รู้จักกับมู่หรงเหยียน อวี๋ชิงจยาก็เรียนรู้วิธีพันแผลได้โดยไม่มีใครสอน ล่วมยากลายเป็นสิ่งจำเป็นในเรือนของนางไปแล้ว อวี๋ชิงจยามองดูมันครู่หนึ่ง ก่อนจะแค่นเสียงเบาๆ หันหน้าหนีแล้วเดินห่างออกมาอย่างไร้เยื่อใย
ตอนนี้เขาคือผู้นำกองทัพกบฏ คือหลางหยาอ๋องผู้ได้รับความจงรักภักดีจากคนนับหมื่น แค่เขาเป็นแผลที่มือหนึ่งรอยก็มีคนนับไม่ถ้วนคอยเป็นห่วงแล้ว ยังจะเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย
ภายในตำหนักหานหยวน ฮ่องเต้สวมชุดออกว่าราชการสีดำ นั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์ คนผู้หนึ่งถูกโยนเข้ามาในตำหนักราวกับถุงกระสอบ ร่างไถลอยู่บนพื้นเป็นเวลานานจนกระทั่งกลิ้งมาถึงใจกลางตำหนักจึงค่อยหยุดลง เมื่อฮ่องเต้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แก้มก็กระตุกอย่างรุนแรง
“ขุนนางอิ่น!”
อิ่นอี้คุนจมูกเขียวหน้าบวม นอนอยู่บนพื้นราวกับสุนัขตายตัวหนึ่ง เมื่อเขาได้ยินเสียงของฮ่องเต้ก็ทั้งตกใจและหวาดกลัว ใช้ทั้งมือและเท้าคลานไปที่ฝ่าเท้าของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กองทัพกบฏบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ผู้นำของพวกเขาคือ…คือ…”
“คือข้าเอง!”
ค่ำคืนอันมืดมิด คบเพลิงสว่างลุกโชน ส่องให้เห็นสีหน้าเย็นยะเยือกและท่าทีเคร่งขรึมชัดเจน เลือดและไฟส่องสะท้อนผสานกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด มู่หรงเหยียนค่อยๆ ก้าวเข้าตำหนักหานหยวนที่มีเลือดกระเซ็นอยู่ทั่วพื้น เรือนร่างจากที่มืดก้าวเดินเข้าสู่ที่สว่าง ปรากฏต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทีไม่รีบร้อน
มู่หรงเหยียนมองฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์แล้วหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง “ไม่ได้พบกันเสียนาน เสด็จอารอง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ก.ย. 67