ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน
ทดลองอ่าน ตัวเอกหญิงอย่างข้าขอทวงชะตากลับคืน บทที่ 130-131
เมื่อเอ่ยถึงรัชทายาท รอยยิ้มของมู่หรงเหยียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดวงตากลับคมกริบขึ้นมาทันที สุราพิษจอกนั้นมีที่มาจากยาพิษของระบบ มู่หรงเหยียนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถนัดเรื่องพิษมาปรับปรุงตัวยาให้เป็นพิเศษ พิษของระบบนั้นไร้สีไร้กลิ่น เวลาตายจะทรมานน้อยหน่อย แต่มู่หรงเหยียนอยากให้คนรู้ว่าฮ่องเต้ตายเพราะเหตุใด ที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ฮ่องเต้ตายอย่างรวดเร็วนั้นถือเป็นการช่วยให้เขาสบายเกินไป เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะวางยาพิษฮ่องเต้ แต่คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะมอบสุราพิษให้ฮองเฮา ทว่านั่นก็ไม่มีอะไรแตกต่าง ความตายของฮองเฮาสามารถบรรลุผลของการข่มขู่ได้เช่นเดียวกัน ภายหน้ามีฮ่องเต้อยู่ในกำมือ มู่หรงเหยียนก็สามารถออกคำสั่งในนามของฮ่องเต้ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง
ข้างนอกยังมีอีกหลายสิ่งที่มู่หรงเหยียนต้องไปจัดการอีก เขาไม่มีอารมณ์จะมาพัวพันกับขุนพลของกองทัพที่พ่ายแพ้ เขากวาดตามองไปยังฮ่องเต้ที่อยู่ด้านบน ก่อนจะถอนสายตาออกไปอย่างเย็นชาแล้วกล่าวขึ้น “ที่ฝ่าบาทต้องตกอยู่ในสถานการณ์วันนี้ล้วนเป็นเพราะถูกขุนนางโฉดหลอกลวง คาดไม่ถึงว่าขุนนางโฉดจะละโมบมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับกระทำความผิดมหันต์ คิดจะปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ตอนนี้ฮองเฮาทรงถูกปลงพระชนม์ด้วยสุราพิษของอัครมหาเสนาบดีอิ่น ฝ่าบาททรงโชคดีรอดมาได้ แต่ก็ถูกขุนนางโฉดทำร้ายจนถึงรากฐาน ขุนนางประจบที่เป็นภัยต่อราษฎรและคิดก่อกบฏเช่นนี้สมควรถูกสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นจริงๆ” มู่หรงเหยียนหันไปสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “พวกเจ้ายังมัวยืนเหม่ออะไรอยู่ ยังไม่ลากตัวคนผู้นี้ออกไปให้พ้นพระพักตร์ฝ่าบาทอีก”
อิ่นอี้คุนกลัวจนขาสองข้างสั่นพั่บๆ มือและเท้าใช้การไม่ได้ จึงคลานไปข้างหลังฮ่องเต้อย่างหมดสภาพ และกอดชายเสื้อฮ่องเต้ไว้แน่น “ฝ่าบาท กระหม่อมจงรักภักดีต่อพระองค์ พระองค์ต้องช่วยกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้มีความลำเอียงเข้าข้างอิ่นอี้คุนเสมอจนขุนนางคนอื่นๆ เกลียดคนผู้นี้แทบแย่แล้ว พวกเขาเฝ้ารอวันนี้มานาน ในที่สุดตอนนี้ก็ได้ยินคำสั่งจากมู่หรงเหยียน หลายคนจึงก้าวมาข้างหน้าในทันที ดึงแขนและขาของอิ่นอี้คุนราวกับที่คีบเหล็ก แล้วยกเขาออกไปข้างนอกราวกับหมูประหนึ่งสุนัข
ฮ่องเต้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่ออิ่นอี้คุน เขาเห็นดังนี้ก็คิดจะออกหน้าปกป้องอิ่นอี้คุน แต่กลับถูกกลุ่มคนของมู่หรงเหยียนเข้ามาขวางไว้ให้อยู่ด้านหลังอย่างแน่นหนา
อิ่นอี้คุนกลัวจนปัสสาวะรดกางเกงเปียกชุ่ม ร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด ฮ่องเต้ได้ยินแล้วเจ็บปวดใจดั่งถูกมีดกรีดคว้าน หลังจากที่อิ่นอี้คุนถูกโยนไปข้างนอกตำหนักแล้ว ทหารนายหนึ่งก็เข้ามาขอคำแนะนำจากมู่หรงเหยียน “องค์ชาย ควรจัดการคนถ่อยไร้ยางอายผู้นี้อย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพผู้เฒ่าเกิ่งเกือบถูกเขาใส่ร้ายจนถึงแก่ความตาย กองทัพสกุลเกิ่งต้องลำบากเพราะเขาไม่น้อย เรียกทหารประจำสกุลเกิ่งมาสองสามนาย แล้วรุมสับเขาจนตายเสีย”
ทหารนายนั้นได้ยินแล้วดีใจอย่างยิ่ง ยกกำปั้นคารวะพร้อมขานรับเสียงดัง “พ่ะย่ะค่ะ!”
ก่อนหน้านี้อิ่นอี้คุนได้ทำร้ายพลทหารจำนวนมาก แม้แต่เกิ่งตี๋ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ซึ่งมีผลงานการรบเป็นที่ประจักษ์ มีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายก็ยังถูกอิ่นอี้คุนวางอุบายทำร้ายได้ พอจะนึกไปถึงขุนนางคนอื่นๆ ได้ว่าย่อมถูกอิ่นอี้คุนเล่นงานด้วยเช่นกัน ทุกคนต่างก็กัดฟันเคียดแค้นอิ่นอี้คุนมาโดยตลอด ตอนนี้เมื่อสบโอกาสแล้วก็มีทหารหลายนายในกองทัพยินดีให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าฮ่องเต้จะสาปแช่งและขัดขวางอย่างไรก็ล้วนไร้ผล
ฮ่องเต้หันหน้าหนีอย่างทนไม่ไหว เพียงไม่นานก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากนอกประตูตำหนัก เสียงนั้นยิ่งร้องยิ่งฟังดูเวทนาขึ้นทุกครั้ง หลังจากเปล่งเสียงแหลมสูงครั้งหนึ่งในตอนสุดท้ายแล้ว เสียงร้องก็หายไป เหลือไว้เพียงความเงียบงัน
มู่หรงเหยียนเห็นสีหน้าของฮ่องเต้แล้วหัวเราะเบาๆ “เสด็จอารองดูคนเป็นต่อสู้กับเสือ ดูญาติพี่น้องเข่นฆ่ากันก็ยังไม่เห็นแสดงความอ่อนแอเลย เหตุใดวันนี้แค่ได้ยินเสียงร้องของอิ่นอี้คุน เสด็จอารองก็ทนฟังไม่ได้แล้วเล่า หลานเคยคิดว่าเสด็จอารองจะโปรดปรานสิ่งเหล่านี้เสียอีก เวลาลงโทษใครถึงได้ตั้งใจไม่ให้พวกเขาออกไปไกลนัก ทำไมล่ะ เสด็จอารองไม่ชอบหรือ”
มือของฮ่องเต้เส้นเลือดปูดขึ้น ดวงตามีหยาดน้ำเอ่อคลอ แววตาทั้งโศกเศร้าและมืดมน จ้องมองมู่หรงเหยียนอย่างอำมหิตราวกับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกาย “เจ้าทำกับเราถึงเพียงนี้ เราจะรอดูจุดจบของเจ้า เจ้าจะต้องถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น ผู้คนลุกฮือต่อต้าน คนข้างกายทรยศ ไม่ได้ตายดี!”
คำสาปแช่งเช่นนี้ร้ายแรงพอสมควร พวกฉางต้าคิดจะเข้ามาโต้แย้งทันที แต่มู่หรงเหยียนโบกมือปรามไว้ เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย “ข้าก็รู้สึกว่าคนอย่างข้าหาจุดจบที่ดีได้ยาก แต่น่าเสียดาย เสด็จอารองคงไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว”
มู่หรงเหยียนหมุนกายและเดินไปข้างนอก เดินไปพลางพูดไปพลาง “คนทรยศสร้างความวุ่นวาย จับโอรสสวรรค์เป็นตัวประกัน บัดนี้ถูกสังหารในที่เกิดเหตุแล้ว ทว่าพวกเรามาถึงช้าไปก้าวหนึ่ง ฝ่าบาทโชคร้ายถูกคนทรยศทำร้ายบาดเจ็บ”
ทันทีที่มู่หรงเหยียนจวนจะออกไป เสียงของฮ่องเต้ที่เจือด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งก็ดังมาจากบัลลังก์อันว่างเปล่า “หลายปีมานี้เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่ ใครเป็นคนช่วยเหลือเจ้ากัน!”
มู่หรงเหยียนหยุดเดิน ริมฝีปากยิ้มอย่างเยาะหยันดูแคลน สุดท้ายก็เก็บความรู้สึกบนหน้าลงไปแล้วสาวเท้าออกจากตำหนักอย่างไม่ไยดี
หลังจากออกมา ผู้สอดแนมคนหนึ่งก็ตามมาอยู่ด้านหลังมู่หรงเหยียนแล้วกระซิบบอกว่า “องค์ชาย ไป๋หรงฝากข้อความมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไป๋หรง?” สีหน้าของมู่หรงเหยียนจริงจังขึ้นมาทันที เขาถาม “นางฝากข้อความอะไรมา”
“นางบอกว่า ‘คุณหนูหกโกรธแล้ว ไป๋หรงพยายามสุดความสามารถแล้วจริงๆ ส่วนที่เหลือ…องค์ชายควรจัดการด้วยตนเอง’ พ่ะย่ะค่ะ”
ประโยคนี้ไร้ต้นสายปลายเหตุ แต่มู่หรงเหยียนเข้าใจในทันที ก่อนหน้านี้ถึงเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน เสื้อเกราะเปื้อนไปด้วยเลือด ใบหน้าก็ไม่เผยความเหนื่อยล้าออกมา ยังคงรักษาท่าทางสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้ เลือดที่เต็มพื้นและศัตรูที่พ่ายแพ้ก็ไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหวแม้แต่น้อย ทว่าในยามนี้แค่ได้ฟังข้อความอันไร้ต้นสายปลายเหตุนี้แล้วกลับทำให้น้ำแข็งในใจของมู่หรงเหยียนละลาย รอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งปรากฏบนริมฝีปาก “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปได้”
ผู้สอดแนมเพิ่งจะเดินออกไปได้สองก้าว ก็ถูกมู่หรงเหยียนเรียกเอาไว้ทันที “กลับมา”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“นางส่งข้อความมาเมื่อไร”
“ยามซวีเมื่อคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ยามซวีเมื่อคืนนี้ นั่นก็แสดงว่านางโกรธมาทั้งคืนแล้ว มู่หรงเหยียนครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบมองผู้สอดแนมด้วยสีหน้าเย็นชา “ไปได้แล้ว ต่อไปถ้ามีข่าวเช่นนี้ให้มารายงานทันที”
ผู้สอดแนมไม่กล้าหายใจแรง เขากลั้นหายใจกล่าว “น้อมรับพระบัญชา”
ชาวเมืองเยี่ยเฉิงผ่านค่ำคืนอันอกสั่นขวัญหายมาได้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางหรือชาวบ้านก็ล้วนจ้องประตูเรือนโดยไม่ละสายตา ไม่มีใครกล้านอนหลับสักเท่าไร
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น มีการแจ้งจากราชสำนักว่าจะมีการออกว่าราชการเช้าตามปกติ
ในช่วงออกว่าราชการเช้า เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊เงยหน้าขึ้นไปเห็นบัลลังก์ที่ว่างเปล่า บุรุษร่างสูงชะลูดผู้หนึ่งสวมชุดออกว่าราชการสีนิลประจำตำแหน่งจวิ้นอ๋องยืนอยู่เบื้องหน้าสุดของตำหนักหานหยวนด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่นานข่าวที่ว่าอัครมหาเสนาบดีกระทำความผิดถูกประหารชีวิต ฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บไม่สามารถปกครองได้ จึงมอบหมายให้หลางหยาอ๋องบุตรชายสายตรงของอดีตรัชทายาทออกว่าราชการแทน ก็กระจายไปทั่วเมืองหลวง
ภายในเรือนของอวี๋ชิงจยา เหล่าบ่าวรับใช้ได้ยินข่าวว่าหลางหยาอ๋องทำหน้าที่ปกครองแคว้นแทนฮ่องเต้ มีหลายคนตั้งตัวไม่ทันกับเรื่องนี้ พูดคุยเกี่ยวกับข่าวของจวิ้นอ๋องหนุ่มผู้นี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
พวกหญิงสาวจับกลุ่มกันพูดคุย อวี๋ชิงจยาเพียงฟังอย่างเดียว ไม่ร่วมวงสนทนาด้วย ไป๋หรงแอบชำเลืองมองอวี๋ชิงจยา เห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของคุณหนูตนแล้ว ภายในใจก็ยิ่งรู้สึกผิด นางไล่สาวใช้รุ่นเล็กที่ส่งเสียงดังออกไปแล้วยกน้ำชาถ้วยหนึ่งมาให้อวี๋ชิงจยาอย่างระมัดระวัง “คุณหนู เหตุใดท่านถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะเจ้าคะ”
อวี๋ชิงจยากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า”
“ไม่มีอะไรจะพูดกับนาง เช่นนั้นคงมีอะไรจะพูดกับข้า” ประตูถูกเปิดออกตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ เงาร่างสีดำยืนอยู่ตรงประตู เหลือบมองไป๋หรงอย่างเรียบเฉย “ออกไป”