บทที่ 131 นามของข้า
ครั้นเห็นผู้มาเยือน ไป๋หรงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ท่าทางคล้ายไม่รู้ว่าควรวางมือและเท้าไว้ที่ใด หลังจากที่ตั้งสติได้นางก็รีบรวบชายชุดและคุกเข่าลง “องค์ชาย”
ไป๋หรงคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าสาวใช้ที่พูดคุยเล่นอยู่ตรงประตูเมื่อครู่นี้ถูกมู่หรงเหยียนไล่ตะเพิดออกไปตั้งแต่เมื่อไร ทันใดนั้นภายในห้องก็เหลือเพียงมู่หรงเหยียนและอวี๋ชิงจยายืนอยู่สองคน กระดิ่งลมที่มุมชายคาส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง คนทั้งสองคน คนหนึ่งยืนอยู่ในห้อง อีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตู ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอย่างเงียบๆ
มู่หรงเหยียนก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ดวงตาของเขาจ้องมองอวี๋ชิงจยาอยู่ตลอดราวกับบริเวณอื่นคือความว่างเปล่าสำหรับเขา มู่หรงเหยียนเดินเข้าไปใกล้แล้วกล่าวกับไป๋หรงที่อยู่บนพื้นอย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง “ออกไป”
ไป๋หรงจับชายกระโปรงแล้วลุกขึ้นยืนทันที นางย่อกายคารวะอวี๋ชิงจยาและมู่หรงเหยียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นถอยออกไปด้วยก้าวเล็กๆ การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วรวดเร็วราวกับฝึกฝนมาหลายครั้งหลายหน หลังจากที่ไป๋หรงจากไปแล้ว ประตูห้องก็ถูกปิดลง แสงสว่างในห้องจึงน้อยลงไปมากในทันที
มู่หรงเหยียนหยุดห่างจากอวี๋ชิงจยามาสองก้าว เขาเอื้อมมือไปวางลงบนแก้มของอวี๋ชิงจยา ดวงตาดำเข้มจับจ้องผิวหนังทุกส่วนของนาง “จยาจยา ไม่ได้เจอกันเสียนาน”
นี่คือครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกันนับตั้งแต่ที่มู่หรงเหยียนจากไปโดยไม่บอกลาเมื่อเดือนแปดปีที่แล้ว เดิมอวี๋ชิงจยาไม่คิดจะให้อภัยเขาง่ายๆ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขาแล้ว น้ำตาของนางก็แทบรินไหลออกมา อวี๋ชิงจยาเม้มริมฝีปากไว้ แล้วเบี่ยงหน้าหลบมือของมู่หรงเหยียน แต่หลังจากหลบมือเขาอยู่หลายครั้งนางก็พบว่าสลัดออกไปไม่ได้เสียที นางจึงทำได้เพียงหันหลังให้มือของมู่หรงเหยียนแล้วพยายามจ้องมองพื้น “ไม่ได้เจอกันนานอะไรกัน หม่อมฉันไม่เคยรู้จักหลางหยาอ๋องมาก่อน หม่อมฉันไม่ทราบว่าท่านอ๋องตรัสถึงเรื่องใด”
อวี๋ชิงจยาหลบหน้า ไม่ยอมมองมู่หรงเหยียนอย่างแน่วแน่ เดิมนางคิดว่าน้ำเสียงและท่าทางของตนนั้นดูห่างเหินมากพอแล้ว แต่นางหารู้ไม่ แม้คำพูดนี้นางจะพยายามควบคุมน้ำเสียงอย่างเต็มที่เพียงใด แต่หางเสียงก็ยังมีความน้อยอกน้อยใจและเกี่ยงงอนออกมาอยู่ ซึ่งคล้ายมีมือเข้าไปสะกิดในหัวใจอีกฝ่าย
มู่หรงเหยียนมองใบหน้าด้านข้างของนางอยู่นาน ก่อนจะกางแขนสองข้างออก แล้วกอดนางไว้แนบแน่น “จยาจยา ข้าคิดอยู่หลายครั้งว่าข้าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”
อวี๋ชิงจยาตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขา นางรอคอยเขาอย่างอดทนได้ แต่ไม่อาจทนต่อการหลอกลวงได้แล้ว นางรู้ว่าเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเขาแตกต่างจากคำโกหกตอนพวกเขาเดินทางกลับเหยี่ยนโจวและตอนอยู่ที่จวนสกุลอวี๋อย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่มู่หรงเหยียนรู้ดีว่านางหวาดกลัวหลางหยาอ๋องเพียงใด ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขากลับไม่ยอมบอกอะไรนางเลย ตรงส่วนนี้ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
ในขณะที่มู่หรงเหยียนโอบกอดนาง พละกำลังที่แขนของเขาเยอะมากจนสัมผัสถึงอาการสั่นของเขาได้รางๆ ราวกับอยากออกแรงมากกว่านี้แต่ก็ไม่กล้าออกแรงจริงๆ พยายามควบคุมจนทำอะไรไม่ถูก เสื้อผ้าของเขาใหม่เอี่ยมทั้งหมด แต่บนตัวยังมีกลิ่นคาวเลือดอยู่จางๆ แสดงว่าเขาไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตัวก็เปลี่ยนเสื้อมาหานางทันที เพราะรู้ว่านางไม่ชอบการต่อสู้ฆ่าฟัน จึงตั้งใจเปลี่ยนเสื้อที่เปื้อนเลือดออก ทั้งที่อุตส่าห์เปลี่ยนเสื้อแล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่ถือโอกาสอาบน้ำและพักผ่อนไปเสียเลย
อวี๋ชิงจยากัดริมฝีปากแล้วหันหน้าหลบไปทางขวาอย่างแรง เป็นเพราะนางออกแรงมากเกินไป ต้นคอจนถึงกระดูกไหปลาร้าของนางจึงยืดออกจนเผยให้เห็นเส้นโค้งอันงดงามและเรียวยาว มู่หรงเหยียนตัวสูงกว่านางมาก เขาเอาแขนโอบไหล่ของนาง ใบหน้าด้านข้างก็แนบชิดกับต้นคอของนาง เขาหลับตาแล้วโอบกอดนางอยู่เป็นเวลานาน
สุดท้ายอวี๋ชิงจยาก็ทนไม่ไหว นางขยับไหล่ดิ้นเล็กน้อย ทว่ากลับถูกมู่หรงเหยียนกอดกระชับแน่นในทันที อวี๋ชิงจยาทำได้เพียงผลักไหล่เขาอย่างเย็นชา “ถอยออกไป” หลังจากพูดจบ อวี๋ชิงจยาก็รู้สึกตัวว่าตนเป็นฝ่ายพูดก่อนเท่ากับแพ้ จึงตั้งใจกล่าวเสริมอีกประโยค “ข้าไม่รู้จักท่าน ท่านเป็นใครกัน”
มู่หรงเหยียนเอาหน้าซุกคอของนางแล้วหัวเราะเบาๆ ลมหายใจรินรดปลายหูของอวี๋ชิงจยา ทำให้นางรู้สึกจักจี้ “เจ้าไม่รู้จักหรือ พระชายาของข้าดูท่าจะความจำไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่เป็นไร หลังพวกเรากลับบ้านแล้วยังมีเวลา ข้าจะเล่าเรื่องในอดีตของพวกเราซ้ำอีกรอบ ถ้าหนึ่งรอบไม่พอก็ซ้ำอีกสองรอบสามรอบ พระชายาก็จะจดจำทุกอย่างได้เองไม่ช้าก็เร็ว”
อวี๋ชิงจยาใบหูแดงก่ำ นางทุบหลังของเขาแรงๆ “ยืนดีๆ สิ ใครคือพระชายาของเจ้ากัน ไม่สิ ใครตกลงว่าจะแต่งงานกับเจ้า ข้าจะไม่…”
อวี๋ชิงจยาพูดยังไม่ทันจบ ร่างก็เสียการทรงตัวกะทันหัน นางสะดุ้งตกใจและส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับโอบกอดคอของมู่หรงเหยียนไว้แน่นตามสัญชาตญาณ
มู่หรงเหยียนช้อนตัวอวี๋ชิงจยาขึ้นมาอุ้มแล้วนางวางลงบนโต๊ะข้างๆ พลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง อวี๋ชิงจยาเอามือยันโต๊ะไม้ไว้คิดจะลุกขึ้นมา แต่กลับถูกมู่หรงเหยียนขัดขวาง นางจำต้องเอนตัวไปข้างหลัง สันจมูกของเขาสัมผัสปลายจมูกอวี๋ชิงจยา ดวงตาดำสนิททำให้คนรู้สึกอันตรายอย่างอธิบายไม่ถูก “จะไม่อะไร”
เดิมอวี๋ชิงจยาต้องการพูดว่า ‘จะไม่แต่งงานกับคนที่หลอกลวงข้า’ แต่เมื่อนางมองเห็นดวงตาของมู่หรงเหยียนในเวลานี้ กลับไม่สามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ นางนึกถึงคำพูดของไป๋หรง เมื่อห้าปีก่อนตำหนักบูรพาหลั่งโลหิตดั่งสายธาร มู่หรงเหยียนสูญเสียญาติมิตรรวมทั้งฐานะภายในชั่วข้ามคืน ถึงแม้เขาจะไม่เคยพูดออกมาก่อน แต่ความจริงแล้วเขากลัวการสูญเสียมาก