เดิมทีเขาคือคนโปรดแห่งสวรรค์และเป็นจุดสนใจของฝูงชน ต่อมากลับต้องปกปิดตัวตนและลบร่องรอยการมีอยู่ของตนเอง เขาคือผู้ที่ได้รับความสูญเสียมากที่สุด ว่าไปแล้วการที่มู่หรงเหยียนปิดบังตัวตนของเขา ความผิดไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ฮ่องเต้
อวี๋ชิงจยาสบตากับเขาอยู่นาน สุดท้ายก็แค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง หันหน้าไปอีกด้านหนึ่งแล้วกล่าว “เจ้าจะสนใจว่าข้า ‘จะไม่อะไร’ ไปเพื่ออันใด”
อวี๋ชิงจยาดันหน้าอกของมู่หรงเหยียน ทว่าออกแรงดันอยู่หลายครั้งก็ผลักเขาไม่สำเร็จสักหน จึงถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง “ยังไม่ถอยออกไปอีก!”
มู่หรงเหยียนมองดูดวงตาที่เปียกชื้นของอวี๋ชิงจยา ขนตาเรียวยาว และสังเกตสีหน้าของนางขณะถลึงตาใส่เขาอย่างละเอียด ในที่สุดก็อดยิ้มไม่ได้ เขาช้อนหลังของอวี๋ชิงจยาแล้วอุ้มนางขึ้นมา แต่ไม่ยอมปล่อยนางออกจากอ้อมกอด ยังคงโอบนางไว้ในอ้อมแขนและกระชับแขนไว้แน่น “ขออภัยด้วยสำหรับเรื่องที่ผ่านมา ข้ารับปากว่าจะไม่หลอกเจ้าอีก เจ้าอยากรู้เรื่องของข้ามานานแล้ว แต่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้าเองถึงไม่ยอมบอกเจ้าเสียที”
ร่างกายของอวี๋ชิงจยาค่อยๆ คลายจากท่าทีขืนตัว นางหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนจะถามเสียงแผ่วเบา “แล้วตอนนี้เล่า ข้ารอถึงวันที่เจ้าจะเต็มใจบอกความจริงกับข้าแล้วหรือยัง”
ตอนยังอยู่ที่เหยี่ยนโจว เมื่ออวี๋ชิงจยาเพิ่งพบว่ามู่หรงเหยียนเป็นบุรุษ นางนั่งถักปมอยู่หน้าโต๊ะ เคยกล่าวพึมพำก่อนนอนโดยไม่ได้ตั้งใจว่า ‘ข้ารอวันที่เจ้าเต็มใจบอกข้าอยู่’
พวกเขาสองคนทะเลาะกันมาโดยตลอด มู่หรงเหยียนเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ ไม่ยอมพูดดีๆ เสียที อวี๋ชิงจยาก็อายเกินกว่าจะสารภาพความรู้สึกของตนเองออกไปตรงๆ มู่หรงเหยียนพลันนึกถึงเรื่องราวในความฝันขึ้นมา ในความฝันนั้นเขาจากไปโดยไม่กล่าวลา มักจะคิดเสมอว่ารอให้เขาล้างแค้นศัตรูคู่อาฆาตและได้ทุกสิ่งกลับคืนมาแล้วค่อยบอกความจริงกับอวี๋ชิงจยา แต่จนกระทั่งเขากลับมา นางก็ไม่อยู่รอเขาแล้ว
การพลาดโอกาสเพียงชั่วครู่คือพลาดไปตลอดชีวิต หากเขาซื่อสัตย์กับความรู้สึกตนเองได้มากกว่านี้ พวกเขาจะพลัดพรากจากกันได้หรือ ตอนที่อวี๋ชิงจยาตายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร ทุกครั้งที่ตกอยู่ในความฝันนี้ มู่หรงเหยียนจะบังคับให้ตนเองตื่นขึ้นมาแล้วบอกกับตนเองว่านี่เป็นเพียงความฝัน แต่เขากลัวว่าจะสูญเสียอวี๋ชิงจยามากจริงๆ จึงทำให้ฝันถึงเหตุการณ์นั้นบ่อยครั้ง ทว่าความเจ็บปวดในอกที่แทบจะชาหนึบไปถึงหัวใจบอกกับเขาว่าไม่ใช่…นี่ไม่ใช่ความฝัน
เขาเคยสูญเสียอวี๋ชิงจยามาก่อนจริงๆ
มู่หรงเหยียนกระชับอ้อมแขน มารดาของเขาคือพระชายารัชทายาท เช่นเดียวกับฮูหยินตระกูลสูงศักดิ์ทุกคน พระชายารัชทายาทนั้นงดงามและมีเกียรติ แต่ไม่เคยเอื้อมมือไปกอดบุตรชายของตนเองแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนรัชทายาทก็ต้องไปมาหาสู่กับขุนนาง ต้องคอยเป็นห่วงชีวิตราษฎร ต้องถ่วงดุลอำนาจในราชสำนัก คนผู้นั้นเป็นรัชทายาทที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับมู่หรงเหยียนแล้ว อีกฝ่ายไม่นับว่าเป็นบิดาที่ดีอย่างแน่นอน
มู่หรงเหยียนไร้ความห่วงใยมาตั้งแต่เกิด ซ้ำยังรู้สึกว่าพวกคนที่เจตนาสร้างความวุ่นวายเพื่อเรียกร้องความสนใจจากบิดามารดาล้วนเป็นคนโง่เขลา เขาไม่ต้องการความรักจากบิดามารดา เวลาต่อมาเมื่อทั้งตำหนักบูรพามีเขาเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงความรู้สึกระหว่างเครือญาติ บิดามารดาของเขาปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพ เป็นรัชทายาทและพระชายารัชทายาทที่ทุกคนคาดหวัง แต่ไม่ใช่สามีภรรยา มู่หรงเหยียนไม่เคยเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างใกล้ชิดจากบิดามารดา การทรยศจากคนใกล้ชิดในเวลาต่อมายิ่งกลายเป็นมีดคมที่ทิ่มแทงชีวิตเขา ดังนั้นเมื่อมู่หรงเหยียนได้พบกับสิ่งที่งดงาม อาการตอบสนองแรกคือการสงสัย การหยั่งเชิง และลงเอยด้วยการทำลายอยู่เสมอ
มู่หรงเหยียนคิดอยู่เสมอว่าความจริงพวกนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่อวี๋ชิงจยายังอยู่เคียงข้างเขา เขาก็มีเวลามากพอให้พิสูจน์ตนเอง แต่การสูญเสียอันเจ็บปวดรวดร้าวในความฝันได้บอกเขาทุกอย่าง ความปากไม่ตรงกับใจของเขาทำให้ต้องสูญเสียอวี๋ชิงจยาไปตลอดกาล
มู่หรงเหยียนกระชับวงแขนโดยไม่รู้ตัว เขารู้ว่าเป็นเช่นนี้อาจจะทำให้อวี๋ชิงจยาเจ็บ แต่เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เขากอดนางแน่น พยายามควบคุมแรงตนเองอย่างสุดกำลัง “จยาจยา ตราบใดที่เป็นเจ้า ข้าก็ยินดีทำทุกอย่าง ข้าเต็มใจที่จะบอกเจ้าเสมอ เพียงแต่ครั้งที่แล้วเจ้าหลับไป ตอนนี้ข้าจะบอกให้เจ้าฟังใหม่อีกครั้ง รุ่นของพวกข้าคือตัวอักษรธาตุไม้ ข้าบรรดาศักดิ์หลางหยา นามคำเดียวว่า ‘เหยียน’ ”
อวี๋ชิงจยาดวงตาชุ่มชื้นโดยไม่รู้ตัว นางรีบกะพริบตาเพื่อให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป “ได้สิ มู่หรงเหยียน ข้าจำไว้แล้ว ข้าเคยบอกว่าหลางหยาอ๋องรูปโฉมงดงาม ตอนนั้นเจ้ายังหัวเราะเยาะข้าอยู่เลย”
มู่หรงเหยียนยิ้มตาม อุ้มนางขึ้นมาทั้งตัวแล้วพาหมุนวนบนพื้นอย่างช้าๆ “หากเจ้าอยากจะมองข้า ไม่จำเป็นต้องแอบมองในงานเลี้ยงหรอก”
ร่างของอวี๋ชิงจยาลอยอยู่กลางอากาศ นางโอบกอดมู่หรงเหยียนไว้แน่น ชายกระโปรงของนางบานออกเป็นชั้นๆ กลางอากาศราวกับกลีบดอกไม้ อวี๋ชิงจยาทั้งโกรธทั้งขบขัน จึงอดทุบแผ่นอกของมู่หรงเหยียนไม่ได้ “ปล่อยข้าลงก่อน ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”