ลมแรงพัดคำรามตลอดราตรี จวบจนยามฟ้าสางพอเห็นแสงตะวันหลังเมฆครึ้มได้แล้วถึงค่อยสงบ
เฟิงจงตื่นเช้ายิ่ง ทว่าพอลืมตากลับเห็นหุ่นเวทขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ข้างกองไฟที่ดับมอดแล้ว เขาดูจดจ่อกระทั่งหัวคิ้วยังขมวดแน่น ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด
นางขยี้ใบหน้าหนหนึ่ง แล้วกุมท้องที่ร้องโครกครากพลางลุกขึ้นยืน “จากท่าทางของเจ้าคงจะใช้พลังเทพได้แล้วสินะ ข้าหิวแล้ว เจ้าไปหาของกินมาสักหน่อยน่าจะพอได้กระมัง”
เซวียนชิงลืมตาขึ้นมองนาง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปทางปากถ้ำ แม้การเคลื่อนไหวยังเชื่องช้าอยู่บ้าง แต่เทียบกับเมื่อวานแล้วกลับดีกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร
เฟิงจงช่วยย้ายเถาวัลย์ที่ขวางบังปากถ้ำออกให้เขา ยามที่มองส่งเขาเหาะเหินออกไป หัวใจนางก็ท่วมท้นด้วยความปลาบปลื้ม…เขาเป็นผู้ช่วยให้ข้าได้จริงๆ ด้วย!
ทว่าเซวียนชิงใจดีจนออกไปหาของกินให้นางเสียเมื่อไรเล่า
ตลอดทั้งคืนเขาไม่ได้นอนเลยสักนิด ทั้งที่พยายามฝ่าทลายพันธนาการอยู่ครึ่งค่อนคืน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังถอดดวงจิตไม่สำเร็จ แม้เขาสามารถเรียกให้ร่างต้นกำเนิดมาดึงดวงจิตถึงที่นี่เลยก็ได้ แต่หากพลังกักกันตรงหน้าผากนี้ยังไม่ถูกขจัด เกรงว่าคงจะมาเสียเที่ยวอยู่ดี สุดท้ายเนื่องจากอับจนหนทางแล้วจริงๆ เขาจึงตัดสินใจออกไปทรมานสังขาร รนหาที่ตายดูสักครั้งเสียเลย รอให้ลมหายใจรวยรินเป็นคำรบสอง ดวงจิตก็น่าจะหลุดออกจากร่างได้กระมัง!
เฟิงจงรอคอยอยู่ในถ้ำภูเขานานแล้วก็ยังไม่เห็นเขากลับมา นางท้องว่างจนรู้สึกหิวกระสับกระส่าย กระทั่งทนไม่ไหวอีกแล้วจึงได้ตัดสินใจออกไปตามหาเขา
เวลานี้เบื้องนอกฟ้าครึ้มจนแทบไม่เห็นดวงตะวันเผยโฉม นางจรดนิ้วทำมุทรา แล้วเดินมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่สัมผัสกับจิตของหุ่นเวทได้ กระนั้นเฟิงจงก็รู้สึกได้ว่านางกำลังอยู่ห่างไกลจากเขามากขึ้นทุกที
เจ้าหนูนี่เป็นเทพไม่ใช่หรือไร เทพก็หลงทางกันด้วยหรือนี่
รอจนออกจากทิวเขาอันเป็นสถานที่ซ่อนกายแห่งนั้นแล้ว ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปิดโล่งขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่เห็นล้วนเป็นทุ่งร้างกว้างจนสุดสายตา เพื่อป้องกันภัยที่อาจจู่โจมเข้ามากะทันหัน เฟิงจงจึงเดินระมัดระวังยิ่ง นอกจากเสียงจ๊อกๆ ที่ดังมาจากท้องของนางเป็นระยะแล้วก็แทบปราศจากเสียงอื่นใด
หลังเวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ* เมื่อเบื้องหน้าสายตาปรากฏแอ่งลาดต่ำแห่งหนึ่ง เฟิงจงถึงได้หยุดฝีเท้า
มองดูก็รู้ว่าแต่เดิมแอ่งลาดต่ำแห่งนี้คือทะเลสาบที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง ทว่ายามนี้กลับแห้งขอดจนเห็นได้ถึงก้นทะเลสาบ แอ่งทรงกลมขนาดใหญ่ปานนี้กลับเหลือน้ำอยู่เพียงน้อยนิดตรงใจกลาง รอบๆ แอ่งก็มีต้นไม้ขึ้นหร็อมแหร็มอยู่แค่ไม่กี่ต้น ทั้งสภาพยังร่อแร่ดูสีเหลืองๆ เขียวๆ ใช้เพียงมือคู่เดียวก็นับผลที่ติดอยู่บนต้นไม้เหล่านั้นได้ครบแล้ว
ยามนี้เจ้าหนูนั่นก็กำลังยืนเหม่อมองฟ้าอยู่บนยอดไม้ต้นที่สูงที่สุดนั้นเอง
เฟิงจงหิวโหยมากแล้ว นางรีบเขย่งเท้าเด็ดผลไม้ที่มีอยู่ไม่กี่ลูกจากบนต้นแล้ววิ่งไปที่ริมน้ำ ล้างผลไม้เพียงลวกๆ ก็จับยัดเข้าปากไปทั้งหมด
หลังกินเสร็จจึงนับว่าค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย นางเดินกลับไปที่ใต้ต้นไม้ แหงนหน้ามองเซวียนชิง “นี่ เจ้าหนู ไหนตกลงกันว่าจะมาหาของกินมิใช่หรือ แล้วเจ้ามายืนตัวเปื้อนคราบเลือดอยู่บนยอดไม้นี่เพื่ออะไร”
เซวียนชิงไม่ได้แยแสนาง ยังคงมองฟ้าโดยไม่ส่งเสียง
เฟิงจงต้องทนหิวมานานเช่นนี้ นางย่อมเข้าใจว่าเขามีเจตนากลั่นแกล้งจึงไม่แคล้วมีโทสะ “ยังไม่ลงมาอีก!” เสียงพูดเพิ่งจะขาดคำ บนใบหน้าของสาวน้อยก็พลันรู้สึกเย็นวูบ นางยกมือลูบสัมผัสเย็นบนใบหน้าทันใดและพบว่านั่นถึงกับเป็นเลือด ครั้นมองขึ้นไปด้านบน จึงเห็นว่าบนมือของเขาเหมือนจะเป็นแผล ยามนี้ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสดๆ กำลังไหลเป็นหยดๆ ลงมาเบื้องล่าง
“รีบลงมาให้ไว! สัตว์อสูรโปรดปรานคาวเลือดเป็นที่สุด ขืนเจ้ายังยืนเฉยเช่นนี้ต่อไป แล้วชักนำให้พวกมันแห่กันมาจะทำอย่างไรเล่า!”
ร่างแบ่งภาคจะมีลักษณะท่าทางที่เป็นเฉพาะตัว แม้ยังคงไว้ซึ่งความคิดจิตใจของร่างต้นกำเนิด ทว่ากิริยาวาจาที่แสดงออกมานั้นกลับแตกต่างกันมากทีเดียว เซวียนชิงเป็นหนุ่มน้อยผู้มีความอ่อนโยน ต่อให้ยามนี้ในใจกลัดกลุ้มรุ่มร้อนเพียงใด เขาก็ทำแค่มองนางเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่ไร้สีเลือดแล้วเท่านั้น
สาเหตุที่เขายืนอยู่สูงลิบลิ่วเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นางยื่นมือมาช่วยได้อีก คนโง่งมน่ะสิถึงจะลงไป!