เฟิงจงถูกสายตาของเขาจ้องมองเสียจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ขณะจะเอ่ยปากอีกครั้งนางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ดูเหมือนรอบด้านจะเงียบงันผิดปกติอยู่บ้าง
สาวน้อยหันหน้ากวาดมองไปทั่วอย่างช้าๆ กระทั่งพบว่าห่างออกไปสามจั้ง เศษมีเถาอู้ ขนาดใหญ่มากตัวหนึ่งหมอบอยู่หลังต้นไม้ มันมีขนยาว กรงเล็บดุจพยัคฆ์ นัยน์ตาสีแดง ปากสีโลหิต เขี้ยวอันน่าพรั่นพรึงยาวโง้งออกมาเบื้องนอก ดูท่าคงลอบประชิดเข้ามานานแล้ว และพร้อมกระโจนออกมาได้ทุกเวลา
เถาอู้เป็นสัตว์ร้ายบรรพกาล ไม่ได้เคลื่อนไหวในพิภพมนุษย์มานานมากแล้ว บัดนี้พิภพมนุษย์ปราศจากผู้คน มันจึงออกมาอวดเบ่งอีกครา หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าตัวปลายแถวนี่กระทั่งจะมาเป็นสัตว์เลี้ยงของนางก็ยังไม่เข้าตาเลยด้วยซ้ำ ทว่ายามนี้นางเป็นแค่มนุษย์เดินดิน กลายเป็นต้องร้องขอชีวิตอยู่ใต้กรงเล็บอันคมกริบของมันเสียแล้ว
เฟิงจงถอยหลังไปอย่างระมัดระวัง มือซ้ายไพล่หลังเพื่อทำมุทรา ปากก็ท่องคาถาเรียกตัวหุ่นเวท
ในที่สุดเซวียนชิงก็กระโดดพลิ้วลงมาอยู่เบื้องหน้านาง ทว่ากลับทำเพียงมองนางเรียบๆ ปราดหนึ่งแล้วนั่งลงขัดสมาธิ
นี่เขากำลังบอกนางอยู่ว่า…เขาไม่ได้ตกอยู่ในการควบคุมของนางสักนิด นางควรตื่นจากฝันเรื่องหุ่นเวทนั่นเสียแต่เนิ่นๆ เถิด รีบหนีเอาชีวิตรอดไว้ก่อนสำคัญกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่คิดจะต่อกรกับเถาอู้เลยด้วย เดิมทีดวงจิตในร่างแบ่งภาคนี้ก็เป็นเพียงเสี้ยวดวงจิตในร่างต้นกำเนิด อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาก็ได้ถอดดวงจิตส่วนใหญ่ของร่างเซวียนชิงกลับไปรวมกับร่างต้นกำเนิดแล้ว ตอนนี้ดวงจิตในร่างนี้เหลืออยู่ไม่มากนัก คิดจะต่อกรกับสัตว์ร้ายบรรพกาลระดับนี้มีโอกาสชนะแน่เสียเมื่อไร
สรุปคือเขามุ่งหวังเพียงได้ตายอย่างสงบ ฉะนั้นจงอย่าได้มาขัดขวางเขาเชียว
ทว่าจนใจที่เถาอู้สัตว์ร้ายบรรพกาลตัวนี้กลับเลือกจู่โจม แม้บนร่างเฟิงจงจะมีเนื้ออยู่ไม่ถึงสองตำลึง แต่กลิ่นหอมหวนซึ่งแผ่ซ่านมาจากพลังวิเศษบนร่างของนางก็ยังน่าเย้ายวนเกินต้านทาน ความสนใจทั้งหมดของมันจึงไปรวมอยู่ที่ร่างของมนุษย์ผู้นี้ และมองเมินเทพอย่างเซวียนชิงโดยสิ้นเชิง
เฟิงจงเครียดเกร็งไปทั้งร่าง นางจรดนิ้วทำมุทราจนจวนจะห้อเลือดอยู่แล้ว ปากก็ท่องคาถาไปหลายต่อหลายรอบ ทว่าหุ่นเวทกลับยังคงนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่มีการตอบสนองใดเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังยื่นมือที่บาดเจ็บไปกวักเรียกเถาอู้ให้เข้ามาเสียอีก ท่าทางราวกับอยากจะให้มันรีบปรี่เข้ามาขย้ำเขาอย่างไรอย่างนั้น
สาวน้อยกัดฟันถอยหลังติดกันไปหลายก้าว พอเถาอู้เห็นนางขยับ มันก็กระโจนเข้ามาใกล้แล้วแผดเสียงคำรามลั่นหนหนึ่ง เสียงนั้นประหนึ่งวายุคลั่งโหมเข้าใส่ สะท้านสะเทือนจนแก้วหูแทบดับ
เฟิงจงฝืนอดทนเอาไว้ นางถึงได้ยังไม่หนีเตลิด เพราะต่อให้นางวิ่งจนสุดฝีเท้าก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ขณะที่ดวงตาของนางมองดูเดรัจฉานตัวนั้นขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ หัวใจก็รัวกระหน่ำดั่งย่ำกลอง
หรือว่าวันนี้ข้าจะต้องฝังร่างอยู่ที่นี่เสียแล้ว?
ครั้งนั้นมหาเทพหนี่ว์วาทำให้นางถือกำเนิดขึ้นด้วยการชโลมวิสุทธิ์โลหิตไปยังเมล็ดพันธุ์ จากนั้นยังประทานชื่อและพลังเทพแก่นาง เพื่อให้นางทำหน้าที่ปกปักรักษาความอุดมสมบูรณ์ของพลังชีวิตในพิภพมนุษย์
‘นับแต่นี้เมื่อมีเจ้าอยู่ก็จะมีพลังชีวิต ใต้หล้าก็จะมีความหวัง’ จวบจนบัดนี้นางก็ยังจดจำถ้อยคำที่มหาเทพหนี่ว์วาเคยกล่าวกับนางไม่ต่ำกว่าหนึ่งหนนี้ได้
ทว่ายามนี้นางกลับต้องมาอยู่ในสภาพตกอับเช่นนี้เสียแล้ว พลังชีวิตในพิภพมนุษย์อยู่ที่ใด ความหวังเล่าอยู่แห่งหนใด กระทั่งหุ่นเวทนางก็ยังไม่มีปัญญาจะควบคุมเลยด้วยซ้ำ!
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามหาเทพบรรพกาลจ่งเสินผู้เกรียงไกรเช่นข้าจะต้องสิ้นชื่อถูกกลืนเข้าปากของเจ้าเดรัจฉานตัวนี้!” นางกัดนิ้วอย่างแรงราวกับไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีกแล้ว จากนั้นก็ชี้นิ้วไปเบื้องหน้าทันที “ลุกขึ้น!”
เมื่อโลหิตสดๆ จากปลายนิ้วหยดสู่ผืนดิน ต้นกล้าต้นหนึ่งซึ่งถูกกระตุ้นให้งอกออกมาก็ลู่ไหวไปมากลางสายลม พร้อมกันนั้นเงาร่างสีขาวที่อยู่เบื้องหน้าสายตาของเฟิงจงก็ขยับวูบ เซวียนชิงพลันลุกพรวดขึ้น ในมือของเขาเสกกระบี่ยาวแล้วผ่าใส่เถาอู้โดยไม่รั้งรอ
เสียงแผดร้องสะท้านฟ้าพลันดังติดตามมา เถาอู้ไม่ได้เห็นเซวียนชิงเป็นเป้าหมายแม้แต่น้อย ดังนั้นกระบี่นี้จึงไม่พบเจออุปสรรคใด สามารถผ่าตรงจากหน้าอกจรดท้องของมันได้ในทีเดียว กรีดเปิดเป็นแผลยาวราวสามฉื่อเศษ โลหิตสดๆ ทะลักออกมา กระเซ็นเปรอะทั่วร่างของทั้งสอง
เถาอู้คำรามก้องด้วยความเจ็บปวดพลางตวัดอุ้งเท้ามาหนึ่งข้าง เซวียนชิงถูกตะปบจนล้มกระแทกพื้น หอบเอาฝุ่นฟุ้งขึ้นมาระลอกหนึ่ง
หลังจากรีบใช้หนึ่งกระบี่คุกคามเถาอู้ให้ถอยห่างไป เซวียนชิงก็ดีดตัวขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วแล้วยกมือลูบหน้าผากในทันที เมื่อครู่ตรงนี้เริ่มเจ็บแปลบแสบร้อนขึ้นมาอีกแล้ว ถัดจากนั้นการเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของตนเองอีก ยามนี้เมื่อเทียบกับความเจ็บแล้ว เขากลับรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่า
เมื่อครู่นางพูดว่าอะไรนะ…จ่งเสิน?