บทที่สิบ
เฟิงจงกล่าว “นางเองก็เจตนาดี หวังว่าข้าจะไม่ต้องออกไปเสี่ยงภัย แต่อย่างไรข้าก็ต้องจากมาแน่นอน”
วาจานี้ทำให้ในใจซีกวงสงบลงไม่น้อย เขาจึงไม่ส่งเสียงอีก
ต้องมาตากลมอยู่บนก้อนเมฆเช่นนี้ ความง่วงงุนของเฟิงจงก็ปลิวหายไปหมดสิ้น นางมองทิวเขาชิงชิวที่อยู่เบื้องล่างปราดหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสริม “วันพรุ่งนี้จิ้งจอกน้อยฝูงนั้นจะร้องไห้จนจมูกแดงกันหรือไม่เล่า”
“ชือ…” ฉยงฉีในอ้อมอกถึงกับถอนหายใจยาว นึกถึงพวงหางอันฟูฟ่องกลุ่มนั้น ก่อนจะจินตนาการถึงภาพที่เจ้าของพวงหางเหล่านั้นร้องไห้จมูกแดง เพียงเท่านี้หัวใจของมันก็แทบจะแหลกสลายอยู่แล้ว
เดิมทีการตามหาโอสถครั้งนี้ ซีกวงได้เตรียมใจเผื่อพบเรื่องราวเลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว…บางทีกระทั่งมุ่งไปจนถึงบึงอสนีก็ยังไม่แน่ว่าจะตามหาโอสถพบ นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะคลี่คลายได้ตั้งแต่ที่ชิงชิวนี่แล้ว เขาจึงสอบถามความเห็นของเฟิงจงดู “ตอนนี้เจ้าคิดจะไปไหนต่อ”
อันที่จริงเฟิงจงอยากไปตามหาต้นเหตุแห่งการเสื่อมโทรมของพิภพมนุษย์มากที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มค้นหาจากที่ใด ครั้นจะยืมวิสุทธิ์โลหิตมาฟื้นฟูความเป็นเทพก็ยังไม่ถึงเวลา นางจึงไร้วาจาไปชั่วขณะ
ตอนนี้เองพลันปรากฏประกายสีแดงสายหนึ่งวาบขึ้นแต่ไกล เฟิงจงรู้สึกสังหรณ์ใจพิกลจึงกระตุกแขนเสื้อของซีกวง “ไปดูทางนั้นกันเถอะ”
เมื่อซีกวงขี่เมฆไปถึงก็พบว่าเบื้องล่างเป็นป่าโปร่งผืนหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์ฉายส่อง เงาที่อ่อนจางของแมกไม้ถูกดึงให้ทอดยาวออกมาเป็นหย่อมๆ ที่แท้ประกายสีแดงนั้นก็คือปราณกระบี่จากทุกสารทิศที่รุมล้อมไปยังคนตรงกลาง ตรงนั้นมีสตรีชุดสีครามยืนอยู่ผู้หนึ่ง นางกำลังตวัดกระบี่ต่อต้านการโจมตีที่มีอยู่ทุกแห่งหน บนชายอาภรณ์ยามนี้เปรอะคราบโลหิตเป็นดวงๆ การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าลงทุกทีแล้ว
ฉยงฉีคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง มันร้อง “ชือ” แล้วกระโจนลงจากก้อนเมฆไป เฟิงจงเองก็ร่อนลงพื้นตามไปติดๆ เพียงหมุนคทาหม่อนมังกรในมือให้ตั้งตรงบนพื้น ปราณอันขุ่นมัวที่อยู่รอบด้านก็พลันสลาย พร้อมกันนั้นปราณกระบี่สีแดงก็อ่อนแรงลงไปมาก
ซีกวงเดินมาทาบฝ่ามือบนแผ่นหลังของเฟิงจงเพื่อถ่ายเทพลังปราณส่วนหนึ่งให้นางพลางเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าเพิ่งจะกลืนลูกกลอนปราณลงไป ยังไม่ทันหลอมรวมเข้ากับร่างกาย เหตุใดจึงใช้พลังวิเศษตามใจอีกแล้ว”
เฟิงจงบุ้ยปากไปทางด้านในของวงล้อม “นางคือวิหคน้อยนั่นนะ”
ปราณกระบี่สีแดงนั้นจางลงแล้ว สตรีชุดสีครามที่อยู่ด้านในตวัดกระบี่สกัดได้ง่ายขึ้นมาก เพียงไม่นานหลังจากนางจู่โจมปราณกระบี่สีแดงเหล่านั้นให้ล่าถอยไปได้แล้วก็หันหน้ากลับมา…นางคือชิงเสวียนจริงๆ
ยามนี้นางเพิ่งจะพบว่าผู้ที่ยื่นมือช่วยเหลือตนก็คือเฟิงจง ดวงหน้าจึงเผยความประหลาดใจ “เจ้าช่วยข้าทำไม”
เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีต่อต้าน เฟิงจงจึงมุ่นคิ้วกล่าว “เจ้าถือเสียว่าเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”