เฟิงจงมุ่นคิ้ว ปรายตามองดูซีกวงก็เห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก
“ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือ” ซีกวงเตรียมพร้อมป้องกัน แต่ไม่มีความคิดที่จะลงมือจู่โจม
“หากมีหนทางอื่น ข้าไหนเลยจะต้องทนทรมานเช่นนี้” สองตาของฟางจวินเยี่ยแทบจะฉายประกายสีแดงออกมาแล้ว “แม้ข้าเกิดมามีปัญญารู้ธรรม ภายหลังบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียนก็ไม่เคยใช้ชีวิตหย่อนยานแม้แต่วันเดียว กระทั่งกราบบิดาเจ้าเป็นอาจารย์และฝึกตนอยู่อีกพันปีถึงได้กลายเป็นเซียนอันดับหนึ่งในพิภพสวรรค์ แต่เพียงเพราะข้าพลั้งสังหารมนุษย์ไปผู้หนึ่ง ข้าถึงต้องมาถูกคำสาปเช่นนี้ หากเขาผู้นั้นไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ข้าก็ต้องกลายเป็นมารและตายไป หากรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ มิสู้ตอนนั้นเจ้าไม่ช่วยข้าไว้ยังจะดีเสียกว่า”
ซีกวงกล่าว “ข้าช่วยเจ้าเพราะหวังให้เจ้ามีเวลาคลี่คลายคำสาปนี้ ไม่ได้อยากให้เจ้าสังหารคนเพิ่ม”
ฟางจวินเยี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก ยามนี้เพียงแค่ใช้ตาเปล่าก็สามารถเห็นได้ว่าปราณอันดุร้ายบนร่างของเขารุนแรงขึ้นทุกที แม้แต่กระบี่ในมือก็มีแต่ไอมารอยู่เต็มไปหมด
ซีกวงพลันเอ่ยกับชิงเสวียนว่า “เจ้าคุ้มครองจ่งเสินให้ดี ข้าจะไปรับมือเขา”
ชิงเสวียนย้อนถามโดยจิตใต้สำนึก “เจ้าถือดีอะไรมาออกคำสั่งข้า”
“ข้าผู้เป็นตงจวินสั่งเจ้าได้หรือไม่เล่า”
ชิงเสวียนตะลึงงัน ยามนี้ค่อยนึกได้ว่าเมื่อก่อนเคยฟังเซียนอื่นบนเกาะเผิงไหลถกความเห็นถึงตงจวิน จริงตามที่พวกเขาว่า…ตงจวินสวมอาภรณ์สีดำทั้งร่าง รูปโฉมสง่างามหล่อเหลา
ฉวยโอกาสตอนที่ฟางจวินเยี่ยยังไม่ลงมือ ชิงเสวียนจึงขยับไปยืนข้างหลังเฟิงจงแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้าหนีตอนนี้ยังทันนะ”
เฟิงจงเบ้ปาก “ข้าก็อยากหนีอยู่หรอก แต่พลังวิเศษหมดอีกแล้วน่ะสิ”
ชิงเสวียนมองท่าทีอ่อนแรงของเฟิงจงออกแต่แรกแล้ว คาดว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พลังวิเศษหมดคงเพราะเมื่อครู่รักษาบาดแผลให้นาง ชั่วครู่ชิงเสวียนจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ซีกวงได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือมากุมมือของเฟิงจงเอาไว้ แล้วถ่ายเทพลังปราณจำนวนหนึ่งให้นาง โดยที่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องฟางจวินเยี่ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตลอด
ก่อนนภาสว่างก็เป็นยามที่รัตติกาลดำมืดที่สุด จันทราเร้นกายไปแล้ว เบื้องหน้ามองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าที่ยื่นออกไป ช่วงเวลาแห่งการผจญมารได้มาถึงแล้ว ฟางจวินเยี่ยอาศัยความมืดมิดจู่โจมมาในฉับพลัน ตวัดหนึ่งกระบี่ใส่อาคมป้องกันที่ซีกวงกางกั้นไว้จนบังเกิดแสงโชติช่วงอันเจิดจ้า สะท้อนให้เห็นตรามารอันแจ่มชัดบนใบหน้าของฟางจวินเยี่ย
แส้ยาวที่เสกขึ้นในมือของซีกวงพลันรัดพันฟางจวินเยี่ยไว้ แล้วเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไปทันที ส่วนตนเองก็ตามไปติดๆ เพื่อจะสกัดกระบวนท่าของอีกฝ่าย และพยายามให้อีกฝ่ายอยู่ห่างจากเฟิงจงเท่าที่จะเป็นไปได้
ฟางจวินเยี่ยผู้ซึ่งกลายเป็นมารไปแล้วอยู่ในสภาพที่ใกล้ตาย เขาเป็นเช่นแสงตะเกียงที่เจิดจ้าขึ้นก่อนจะดับวูบ ไม่ว่ากระบวนท่าหรือพลังตบะล้วนแต่เหนือกว่าในยามปกติหลายเท่า ประกอบกับมีไอมารผสานอยู่ในปราณเซียน พลังจู่โจมจึงพลิกผันพิสดาร ยากจะคาดเดาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายหลังประมือกับซีกวงหลายร้อยกระบวนท่า ฟางจวินเยี่ยก็ปลีกตัวมาถึงเบื้องหน้าเฟิงจงจนได้ จากนั้นก็เงื้อกระบี่ผ่าทลายอาคมป้องกันนั้นลงทันที
ชิงเสวียนดึงตัวเฟิงจงไปด้านหลังพลางเอ่ยอย่างร้อนรน “รีบใช้ฉยงฉีของเจ้าเร็วเข้าสิ เจ้านึกว่าหญ้านพกาฬที่ข้าป้อนให้มันเป็นสมุนไพรปลอมหรือ!”
เดิมทีเฟิงจงรู้สึกว่าการใช้ฉยงฉีรับมือฟางจวินเยี่ยนั้นออกจะเป็นการเสี่ยงเกินไป ครั้นได้ยินชิงเสวียนพูดเหมือนมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นนี้ นางจึงจรดนิ้วทำมุทราโดยไม่รอช้า
ฉยงฉีกระโจนขึ้นพร้อมร่างที่เปลี่ยนเป็นโตเต็มวัยในชั่วพริบตา มันพุ่งใส่ฟางจวินเยี่ยประดุจลูกไฟใหญ่ลูกหนึ่งพลางแผดเสียงคำรามลั่นสะเทือนฟ้า