ตอนนี้เฟิงจงถึงได้เข้าใจว่าฉยงฉีเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้มันกลืนภูตยักษ์ลงไป จากนั้นก็ได้หญ้านพกาฬมารวมความสามารถในการขยายร่างเฉกเช่นภูตยักษ์มาเป็นของตน ตอนนี้ก็สำเร็จมาจนถึงขั้นนี้แล้ว
คงเพราะเสียงคำรามของฉยงฉีดังเกินไป จึงชักนำให้คนตระกูลถูซานตามมาด้วย เสียงของถูซานเฟิ่งเริ่มดังขึ้นแต่ไกลแล้ว “อยู่ทางนั้น ไปดูกันซิ!”
ในใจซีกวงรู้สึกว่าไม่ได้การ หากปล่อยให้ตระกูลถูซานพบว่าฟางจวินเยี่ยคิดลงมือต่อเฟิงจง เช่นนั้นฟางจวินเยี่ยก็ไม่เหลือทางรอดใดอีกแล้ว
เนื่องจากถูกฉยงฉีกับซีกวงกระหนาบโจมตีทั้งสองด้าน ฟางจวินเยี่ยจึงสู้ไปพลางถอยไปพลาง จวบจนพบตำแหน่งที่เหมาะสม เขาก็ม้วนแขนเสื้อแล้วควบคุมให้กระบี่ดึงเอาประกายสีแดงรอบด้านมาเป็นพลังปราณ จากนั้นจึงซัดปราณกระบี่เหล่านั้นตรงไปหาเฟิงจงโดยไม่รอช้า
ซีกวงสะบัดแส้เดียวม้วนปราณกระบี่ออกไปได้หลายสาย ส่วนที่เหลือก็ได้ฉยงฉีกับชิงเสวียนจัดการจนหมดสิ้น
ทว่านี่เป็นแค่เพียงแผนหลอกล่อ ฟางจวินเยี่ยเพียงคิดใช้ปราณกระบี่เหล่านี้เหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้เท่านั้น ชั่วพริบตาเดียวนี้เขาก็ปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าของเฟิงจงแล้วพานางเหาะหนีไปไกลทันที
จวบจนออกจากเขตแดนชิงชิวแล้วเขาถึงได้หยุดฝีเท้า เมื่อปราศจากปราณเซียนในชิงชิว ความเป็นมารของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกขั้น ยามที่ปล่อยเฟิงจงลงพื้น เขาก็ขาดสติไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีจิตสำนึกของตนเองหลงเหลืออยู่อีก พอเงื้อมือขึ้น ปลายกระบี่ก็แนบชิดที่ข้างลำคอของนาง
รอบด้านล้วนมืดมิด เฟิงจงมองไม่ออกว่านางอยู่ที่ใด มองเห็นเพียงฟางจวินเยี่ยที่อยู่ใกล้ที่สุด เฟิงจงยืดกายตระหง่านโดยไม่หวั่นไหว ดวงหน้าฉาบด้วยความเยือกเย็นขณะใช้คทาหม่อนมังกรจรดบนหน้าอกของเขา
ดูเหมือนปราณชีวิตในคทาหม่อนมังกรจะทำให้เขามีสติขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเจ้าหรอก แต่จนใจที่ไร้หนทางอื่น หากเจ้าตื่นจากนิทราเร็วกว่านี้สักนิด บางทีทุกอย่างอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ เป็นเจ้าที่บกพร่องต่อหน้าที่ แม้ยามนี้ไม่อาจกอบกู้พิภพมนุษย์ไว้ได้ ทว่าอย่างน้อยเจ้ายังสามารถช่วยชีวิตข้าได้”
เฟิงจงรู้สึกได้ว่าคมกระบี่ที่ข้างลำคอถูกกดลงมาอีกนิดแล้ว ทว่าจากนั้นกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก นางช้อนตาขึ้นกวาดมองไปก็พบว่าแขนของฟางจวินเยี่ยนิ่งค้างไม่ไหวติง บนแขนข้างนั้นถูกรัดไว้ด้วยแส้ยาวสีดำขลับ ครั้นมองตามตัวแส้ไป นางก็เห็นซีกวงที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ด้านหลังของฟางจวินเยี่ยอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไร
ฟางจวินเยี่ยเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง “ซีกวง ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้ารำคาญความยุ่งยากเสมอมา ไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่เหตุใดเจ้าต้องคอยปกป้องนางครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย เพียงเพราะนางคือจ่งเสินน่ะหรือ”
ซีกวงหัวเราะตอบ “ทำอย่างไรได้เล่า มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ถึงยุ่งยากข้าก็ขอยอมรับไว้”
ฟางจวินเยี่ยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า พลังเทพถึงได้ประเดี๋ยวมากประเดี๋ยวน้อย แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้าสามารถฆ่าข้าได้ เจ้าก็ลงมือเถอะ รีบฆ่าตอนที่ข้ายังไม่ตกสู่วิถีมารโดยสมบูรณ์ ข้าจะได้ตายอย่างมีเกียรติ มิเช่นนั้นข้าต้องควบคุมตนเองไม่อยู่แน่ๆ”
มือของซีกวงกระชับแล้วกระชับอีก ใบหน้าเครียดขรึมไม่ตอบคำ แม้ท่าทางของฟางจวินเยี่ยจะต่างไปจากอดีตมาก แต่ก็นับเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของเขา การสังหารสหายกับมือตนเอง เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจกระทำได้อย่างเฉียบขาดแน่