เมื่อแรกที่เฟิงจงถือกำเนิดนั้นเป็นช่วงที่มหาเทพหนี่ว์วาเพิ่งอุดรูรั่วบนฟ้าสำเร็จ มหาอุทกภัยคลี่คลายลงแล้ว ทุกส่วนในพิภพมนุษย์กำลังรอคอยการฟื้นฟู
ภัยพิบัติในครั้งนั้นใหญ่หลวงยิ่ง สามพิภพทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างรวมใจเป็นหนึ่งอย่างหาได้ยาก ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนหวังว่านับจากนี้ใต้หล้าจะมีแต่ความสงบสุขรุ่งโรจน์ชั่วกาลนาน ด้วยเหตุนี้ทุกชนเผ่าในพิภพมนุษย์ ตลอดจนเทพและหมู่เซียนจากทุกสารทิศในพิภพสวรรค์ หรือกระทั่งปีศาจมารในแดนฮุ่นตุ้นต่างก็มาชุมนุมกันที่เชิงเขาหลักของทิวเขาเจ้ามารดรที่อยู่ในพิภพมนุษย์ เพื่อชมจ่งเสินกะเทาะออกจากเมล็ดพันธุ์ที่มหาเทพหนี่ว์วาหล่อเลี้ยงขึ้นมากับมือเมล็ดนั้น
นับแต่แรกกำเนิด นางก็เบิกเนตรแห่งปัญญาและรู้ภาษามนุษย์แล้ว ประโยคแรกที่นางได้ยินมหาเทพหนี่ว์วาเอ่ยก็คือ ‘นับแต่นี้เมื่อมีเจ้าอยู่ก็จะมีพลังชีวิต ใต้หล้าก็จะมีความหวัง’
เมื่อได้มหาเทพหนี่ว์วาเลี้ยงดูเองกับมือ รูปร่างของนางก็แปรเปลี่ยนไปทุกวัน เพียงเจ็ดวันให้หลังนางก็กลายร่างเป็นเด็กสาว นางได้รับมอบพลังเทพ ได้รับฟังคำสั่งสอน และได้ฝึกฝนวิชาอาคม นางจึงรุดหน้าฉับไวประหนึ่งอาชาที่วิ่งได้วันละพันหลี่ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการฝึกฝนพร้อมกับนางยังมีอวี้ถูที่เพิ่งเป็นชายหนุ่มอีกผู้หนึ่ง
เขาในยามนั้นมีเรือนผมสีดำปานน้ำหมึก สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง ท่าทีสุขุมเงียบขรึม และไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัวเมื่อเข้าใกล้เฟิงจง เรื่องที่เขาทำบ่อยที่สุดก็คือการมองดูนาง…มองดูสถานที่ซึ่งมีต้นกล้างอกเงยยามที่นางเดินผ่าน…มองดูกิ่งใบเหี่ยวเฉาที่แปรเปลี่ยนเป็นเขียวขจีหลังจากนางลูบไล้แผ่วเบา…บาดแผลที่นางสัมผัสผ่านล้วนสมานตัวอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่มองล้วนทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่อัศจรรย์ใจยิ่ง บางครั้งบางคราเขาก็ร่วมศึกษาค้นคว้าวิชาอาคมกับนางด้วย…แต่ไม่นานนักเขาก็ไปที่ตำหนักยมโลกแล้ว
เนื่องจากมหาเทพหนี่ว์วาสูญสิ้นพลังใจและพลังกายไปกับการอุดรูรั่วบนฟ้า นางจึงได้ตระเตรียมที่จะนิทราตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น นางได้พาหนุ่มน้อยผู้หนึ่งกลับมาจากดินแดนทางตะวันออกที่เรียกว่าบึงอสนีด้วย เพื่อจะให้หนุ่มน้อยผู้นี้มาเป็นหุ่นเวทของเฟิงจง
‘นับจากนี้ไป…เจ้าปกปักรักษาพิภพมนุษย์ ส่วนเขาพิทักษ์คุ้มครองเจ้า’ มหาเทพหนี่ว์วาลูบศีรษะของเฟิงจง
หนุ่มน้อยผู้นี้มาจากเผ่ายักษ์กึ่งเทพแห่งบึงอสนี เป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าตระกูลเลี่ยซาน มีชื่อว่าเลี่ยซานเฮยฉวี ตัวเขาช่างสมกับชื่อที่มีความหมายว่า ‘คูคลองสีดำ’ ยิ่งนัก เพราะนอกจากผิวพรรณจะดำเข้มแล้ว เขายังสวมเสื้อหนังเสือดำอีกด้วย จึงยิ่งดูคล้ำเข้าไปใหญ่ ด้วยเหตุนี้เฟิงจงถึงได้เรียกเขาว่าเสี่ยวเฮยที่มีความหมายว่า ‘เจ้าดำน้อย’
นางอดไม่ได้ที่จะถามเขาในเวลาต่อมา ‘เสี่ยวเฮย เจ้าไม่อยากปกครองชนเผ่าหรือ เหตุใดต้องมาเป็นหุ่นเวทด้วยเล่า’
‘นี่เป็นความสมัครใจของข้าเอง’ สองตาของเสี่ยวเฮยเบิกกว้างขณะเอ่ยอย่างจริงจัง ‘การพิทักษ์จ่งเสินก็ถือเป็นการพิทักษ์พิภพมนุษย์ด้วย’
เสี่ยวเฮยยังไม่อยู่ในช่วงเจริญวัย กระนั้นรูปร่างของเขาก็สูงใหญ่มากแล้ว ผิดกับเฟิงจงผู้มีเอวบางร่างน้อย ซึ่งย่างก้าวก็เล็กตามไปด้วย เสี่ยวเฮยจึงมักให้นางนั่งบนบ่าของเขา ก่อนจะพานางเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในพิภพมนุษย์
‘ไปทางตะวันออกพันหลี่ก็จะเป็นบึงอสนีบ้านเกิดของข้า ยักษ์ในตระกูลกุ่ยฟางล้วนเป็นมาร พวกนั้นมักจะลอบจู่โจมพวกเราเป็นประจำ แต่พวกเราไม่กลัวเกรงพวกเขาหรอก ตอนนี้มีเจ้าแล้วก็ยิ่งไม่กลัว’
‘ไปทางตะวันออกอีกพันหลี่ก็จะเป็นทะเลบูรพา ที่นั่นมีเทพธิดากานยวนอาศัยอยู่ นางงดงามสะคราญโฉมมากเชียวล่ะ ได้ยินว่านางแต่งให้กับศิษย์ของมหาเทพฝูซีไปแล้ว!’
‘ทางตะวันตกนั้นเป็นถิ่นของตระกูลโหย่วเฉา พวกเขาชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้ แต่เมื่อมีเจ้าคอยช่วยพวกเขาขับไล่สัตว์ป่าที่ดุร้ายไป วันหน้าพวกเขาก็ไม่ต้องอาศัยอยู่บนต้นไม้อีกแล้ว’
‘ส่วนทางใต้มีมวลน้ำจากมหาอุทกภัยที่ยังลดทอนไม่หมดสิ้น จนตอนนี้ก็ยังมีสัตว์ร้ายจำนวนมากออกมาทำร้ายผู้คน มหาเทพหนี่ว์วาบอกว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะทำให้ที่นั่นสงบสุขได้แน่!’
‘ทางเหนือ…’