เฟิงจงลุกขึ้นยืน “มิผิด ภารกิจสำคัญเป็นอันลุล่วง ข้าสามารถไปจากแดนฮุ่นตุ้นนี้ได้แล้ว”
ถูซานสือฟางโอดครวญทันที “แค่นี้ก็จะไปแล้วหรือ ยังไม่ถึงสิบวันเลยด้วยซ้ำ ข้าไต้อ๋องขาดทุนย่อยยับแล้ว!”
เฟิงจงกล่าว “แดนฮุ่นตุ้นไม่มีทิวาราตรี ผู้ใดจะรู้ว่าสิบวันได้ผ่านพ้นไปแล้วหรือไม่ บางทีเจ้าอาจไม่ทันสังเกตเองกระมัง”
ถูซานสือฟางกุมหน้าอกอย่างปวดใจ “ข้าไต้อ๋องถึงกับถูกแม่นางน้อยเช่นเจ้าหลอกลวงเอาเสียได้”
เฟิงจงอารมณ์ดียิ่ง หันหน้าไปเตรียมจะทำมุทราท่องคาถาควบคุมให้หุ่นเวทกลับมา แต่แล้วสีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนวูบ สองตาเบิกกว้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
หุ่นเวทถึงกับส่งยิ้มให้ข้า?!
“เจ้า…” นางเดินใกล้เข้าไปอีกสองก้าว นึกว่าตนเองตาฝาดไป
“เอ๋? หุ่นเวทของเจ้ามีชีวิตแล้ว?” ถูซานสือฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
เซวียนชิงแนบแผ่นหลังกับหินก้อนใหญ่ แขนเสื้อสะบัดพัดพลิ้ว รอยยิ้มที่มุมปากต่างไปจากรอยยิ้มของเขาในกาลก่อน แผ่กลิ่นอายเย็นเยียบชวนสะพรึงออกมา เฟิงจงดูแล้วถึงกับรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง
ฉยงฉีพลันพุ่งปราดมาถึง มองไปยังคนที่ยืนบนชะง่อนหินในอาการกระสับกระส่าย ปากก็ร้องพูชือพูชือด้วยเสียงแหบแผ่ว
“เจ้าไม่ใช่หุ่นเวท เจ้าเป็นใคร!” เฟิงจงดึงท่อนกระดูกสีขาวที่พกไว้ข้างเอวออกมาทันที
“อะไรกัน กระทั่งข้าเจ้าก็มองไม่ออกเชียวหรือ” หุ่นเวทเอ่ยปาก น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำประดุจเสียงย่ำระฆังจากขุมนรก สองตาก็เรืองสีฟ้าเรื่อคล้ายกับเพลิงภูต
“อวี้ถู?”
“ข้าเอง” อวี้ถูในร่างของเซวียนชิงยิ้มรับคำตอบของนาง “ประหลาดใจนักหรือ ไม่เป็นไร ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังโดยละเอียดเอง”
เขาถือคทาหม่อนมังกรพลางเอ่ย “วันนั้นที่เซี่ยจื้อปรากฏตัวมาพาฉยงฉีไป จังหวะเวลามันช่างเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน ข้านึกแคลงใจตั้งแต่จบเหตุการณ์แล้ว จึงสถิตญาณไว้บนร่างของผีทวงหนี้กลุ่มหนึ่งเพื่อไปหยั่งเชิงเจ้า และก็พบว่าเจ้ามีร่างอายุวัฒนะแล้วดังคาด น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้ตรวจสอบให้ละเอียด พวกผีทวงหนี้ก็ถูกพลังเทพที่โผล่มาอย่างกะทันหันกำจัดจนสิ้นซาก ญาณของข้าจึงพลอยถูกตัดขาดไปด้วย คาดว่าพลังเทพนั่นคงมาจากผู้ช่วยลึกลับผู้นั้นของเจ้ากระมัง”
เฟิงจงเม้มปากไม่ตอบคำ คืนนั้นซีกวงรุดมากำจัดกลุ่มผีทวงหนี้ได้ทันท่วงที ไหนเลยจะเคยนึกถึงว่าพวกมันเป็นหูตาของอวี้ถู
อวี้ถูมีญาณที่กล้าแข็งมาโดยกำเนิด ทั้งสามารถสถิตอยู่กับทุกสรรพสิ่ง มิได้ด้อยไปกว่าวิชาหุ่นเวทของนางเลย แม้นางสามารถรู้ที่มาของสรรพชีวิตได้โดยอาศัยการสูดดมกลิ่นอาย แต่ก็ต้องอาศัยตัวตนจริงของสิ่งนั้นด้วย ในขณะที่ญาณนั้นว่างเปล่าไร้รูป ทั้งยังไร้สีไร้กลิ่น นางจึงไม่อาจล่วงรู้ได้แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเฟิงจงไม่ส่งเสียง อวี้ถูก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “ข้าคาดว่าหลังจากเจ้ามีร่างอายุวัฒนะแล้วย่อมต้องนำของวิเศษกลับคืนมา ดังนั้นข้าจึงสถิตญาณไว้บนร่างของวิญญาณตนหนึ่งอีกครั้ง ก่อนจะติดตามกลิ่นอายของเจ้าเข้ามาในแดนฮุ่นตุ้น แต่หลังจากนั้นข้าก็สัมผัสกลิ่นอายของเจ้าไม่ได้อีก ต้องเป็นเพราะผู้ช่วยผู้นั้นวางข่ายอาคมไว้บนร่างของเจ้าเป็นแน่ แต่สวรรค์ก็คงอยากจะช่วยข้า เพราะขณะที่ญาณของข้าท่องตระเวนอยู่ในแดนฮุ่นตุ้น ข้าก็พบว่าหุ่นเวทของเจ้าถูกขายไปแล้ว ข้าจึงสบช่องผละจากวิญญาณตนนั้นมาสถิตบนร่างของเขาแทน ซึ่งเจ้าก็ปฏิบัติต่อหุ่นเวทนี้ไม่เลวทีเดียว ยังอุตส่าห์ตามตัวเขากลับมาด้วย” อวี้ถูมองดูของวิเศษที่อยู่ในมือ “ครั้งนั้นก่อนที่เจ้าจะนิทราได้เก็บซ่อนของวิเศษไว้เป็นการเฉพาะ ข้าเสาะหาจนทั่วก็ไม่พบ แต่ตอนนี้เล่า…มันตกมาอยู่ในกำมือของข้าอยู่ดีมิใช่หรือ”
“นั่นก็ยังไม่แน่หรอก” เฟิงจงเอ่ยเยาะหยัน “แม้ข้าไม่อาจจัดการกับญาณของเจ้าได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ยังควบคุมร่างกลวงนี้ได้อยู่” ทว่านางเพิ่งยกมือเพื่อทำมุทรา นางก็เห็นบนหลังมือของตนเองปรากฏลายเส้นสีดำแทรกกระจายอยู่ทั่ว ทั้งยังแผ่ขยายดั่งเส้นเถาวัลย์รัดพันนิ้วมือเอาไว้ ซ้ำร้ายมืออีกข้างก็เป็นเช่นเดียวกัน นิ้วมือทั้งสิบบัดนี้แข็งทื่อจนไม่อาจขยับเขยื้อน กระทั่งท่อนกระดูกสีขาวก็ยังกุมไว้ไม่อยู่ หลุดมือร่วงลงพื้นไปแล้ว
“เจ้านึกว่าเจ้ามีผู้ช่วยแค่คนเดียวหรือ” สายตาของอวี้ถูเลื่อนไปจรดที่ข้างกายนาง
เฟิงจงหันขวับไปก็พบว่ามือที่ร่ายอาคมของฟางจวินเยี่ยเพิ่งจะชักกลับไป ในใจนางพลันเย็นวาบ “นี่น่ะหรือที่เจ้าบอกว่า ‘รับคำไหว้วานจากผู้อื่นมาแล้ว ก็ย่อมจะซื่อตรงต่องานนั้น’?”
ฟางจวินเยี่ยไม่แสดงสีหน้า เพียงเหินร่างไปยังข้างกายอวี้ถู