อวี้ถูมองเขาด้วยหางตา “อะไรกัน เจ้ายังไม่ยอมพูดอีกหรือว่ารับคำไหว้วานจากผู้ใดให้มาช่วยเหลือนาง”
“จำชื่อเจ้าไม่ได้แล้ว” ฟางจวินเยี่ยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าก็รู้ว่าความจำข้าไม่ดี”
อวี้ถูไม่เก็บมาใส่ใจอีก เขาเอ่ยกับฟางจวินเยี่ยและจรดสายตาไปที่ร่างของเฟิงจงอีกครา “เอาเถอะ สักวันข้าจะกระชากตัวผู้ช่วยนั่นออกมาเอง ผู้ที่ใกล้ชิดนางได้…มีเพียงข้าเท่านั้น”
ฟางจวินเยี่ยเอ่ยเสียงเย็น “แล้วเงื่อนไขที่เจ้ารับปากข้าเล่า”
“วางใจได้ งานลุล่วงแล้วข้าจะช่วยให้คนในม้วนภาพได้มาเกิดใหม่แน่นอน” อวี้ถูยกคทาหม่อนมังกรในมือชี้ไปทางเฟิงจง “ใช้ร่างกายของนางก็แล้วกัน ส่วนดวงวิญญาณของนาง…จะติดตามข้าสู่ตำหนักยมโลก อยู่เคียงข้างข้าตราบชั่วกาลนาน”
ถูซานสือฟางพลันโผล่หน้ามาจากด้านหลังของเฟิงจงแล้วพิงไหล่นางอย่างสนิทสนม “เรื่องนั้นข้าไต้อ๋องคงไม่อาจยอมรับได้”
อวี้ถูสัมผัสได้แต่แรกว่ายังมีพลังปราณของเซียนอื่นอยู่ที่นี่ แต่เขาไม่ได้แยแสว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สิ่งที่เขาสนใจมากกว่านั้นก็คือท่าทีที่อีกฝ่ายสนิทสนมกับเฟิงจงต่างหาก เขาสะบัดแขนเสื้อ ส่งเพลิงภูตสองกลุ่มพุ่งตรงไปในพริบตา
ถูซานสือฟางพลันหดมือที่วางพาดอยู่บนหัวไหล่ของเฟิงจงกลับมา “จุ๊ๆ ช่างอารมณ์ร้ายยิ่งนัก!”
เฟิงจงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ตอนนี้ข้าไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้ เจ้าใช้หนึ่งต้านสองย่อมไม่มีโอกาสชนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย เจ้าไปเสียเถอะ”
“จะไม่เกี่ยวกับข้าไต้อ๋องได้อย่างไร อาคมมายาที่ข้าวางไว้ตรงทางเข้าสัมผัสได้แต่แรกแล้วว่ามีวิญญาณตนหนึ่งบุกรุกเข้ามา ข้าอยากจับกุมมันอยู่พอดี อีกอย่างหากเจ้าตายไป ผู้ใดจะมาเลี้ยงดูข้าเล่า” ถูซานสือฟางคว้ากุมมือข้างหนึ่งของนางไว้พลางขยับกายแนบชิดกับแผ่นหลังนาง “ทนเจ็บได้หรือไม่”
“ได้” เฟิงจงรู้ได้ทันทีว่าถูซานสือฟางต้องการจะคลายอาคมให้นาง เขาถึงได้นำมือข้างนั้นของนางไปไพล่ไว้ด้านหลังแล้วกำเป็นหมัดอยู่ในฝ่ามือของเขา
“ทนหน่อยนะ” ถูซานสือฟางกระชับนิ้วมือทั้งห้า จากนั้นจุดเพลิงกสิณขึ้นกลางฝ่ามือตนเอง ทั้งที่บนมือของเฟิงจงไม่ปรากฏร่องรอยถูกแผดเผาแต่อย่างใด ทว่าลายเส้นสีดำบนนั้นกลับถูกเผาไหม้จนเกิดหมอกควันสีดำทะมึนสายหนึ่ง
แม้คล้ายปลอดภัยดี แต่แท้จริงนั้นทรมานปานถูกบางอย่างแทงเข้าที่หัวใจ เฟิงจงกัดฟันแน่นไม่ส่งเสียง เหงื่อหลั่งเต็มหน้าผาก
ถูซานสือฟางล้วนเห็นอยู่ในสายตา เขาเม้มปากเผยสีหน้าเครียดขรึมอย่างหาได้ยากยิ่ง
ทันใดนั้นก็มีพลังกระบี่ซัดมา อวี้ถูสังเกตเห็นความผิดปกติจึงสั่งให้ฟางจวินเยี่ยเข้าจู่โจม
ถูซานสือฟางได้แต่ใช้มือขวารับพลังไว้ ทว่าด้านซ้ายกลับพบอวี้ถูในร่างของเซวียนชิงปรากฏวาบขึ้น อีกฝ่ายโจมตีตรงไปที่หัวไหล่ของเฟิงจงทันที ถูซานสือฟางจำต้องผลักเฟิงจงหลบไปก่อน ซึ่งส่งผลให้เพลิงกสิณต้องขาดช่วงลงด้วย
เฟิงจงล้มลงกับพื้น พอหันหน้าไปก็เห็นอวี้ถูกับฟางจวินเยี่ยกำลังรุกกระหนาบถูซานสือฟางทั้งซ้ายและขวา คลื่นทะเลด้านข้างที่สูงเทียมฟ้ากลบกลืนเสียงต่อสู้นี้ไปจนสิ้น
ฟางจวินเยี่ยเคยประมือกับถูซานสือฟางมาแล้วจึงรู้ความสามารถของอีกฝ่าย เขาไม่ประมาทศัตรูแม้แต่น้อย ทุกกระบี่ล้วนดุดันหมายปลิดชีวิต
ถูซานสือฟางจงใจชักนำพวกเขาออกไปไกลๆ จวบจนถอยไปถึงริมผาแล้วค่อยสะบัดมือเรียกเกลียวคลื่นในทะเลให้ซัดตรงไปหาฟางจวินเยี่ย ทว่าทันใดนั้นกลับมีกระแสลมเยียบเย็นโผล่ขึ้นที่เบื้องหลังเสียก่อน เพลิงภูตหลายสายได้จู่โจมมาถึงแล้ว เขาจึงได้แต่วกเกลียวคลื่นไปดับเพลิงภูตเหล่านั้นแทน ฟางจวินเยี่ยที่ไร้การสกัดกั้นจึงสบช่องบุกโจมตีมาทางด้านหน้าอีกรอบ
อวี้ถูมีเพียงญาณที่สถิตอยู่กับหุ่นเวท แม้ไม่อาจสำแดงพลังเทพได้เต็มกำลัง แต่ก็ยังผลุบโผล่ว่องไวดุจภูตผี ทั้งไม่ยอมโจมตีซึ่งหน้า ขณะที่ถูซานสือฟางนอกจากจะทุ่มสุดกำลังต่อกรกับฟางจวินเยี่ยแล้ว ก็ยังต้องคอยป้องกันอวี้ถูลอบจู่โจมไปด้วย จึงเป็นไปได้ยากที่จะดูแลได้อย่างทั่วถึง
“ชิ! ใช้สองรุมหนึ่งรึ ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!” ถูซานสือฟางพลันหยุดมือ ก่อนจะพุ่งตัวผ่านบุรุษทั้งสองออกไปไกล พอผ่านไปถึงข้างกายของฉยงฉีก็ยื่นนิ้วมือจิ้มหน้าผากมันหนึ่งที จากนั้นเขาเพียงขยับร่างวูบเดียวก็เป็นเช่นสายลมที่พัดไปไกลแล้ว