อวี้ถูขวางฟางจวินเยี่ยที่กำลังจะไล่ตามไป สายตาของเขายังคงจ้องเขม็งไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายลับหาย “เขามีที่มาอย่างไรกัน”
ฟางจวินเยี่ยเอ่ยตอบ “ก็แค่ไต้อ๋องปกครองกองโจรเท่านั้น เจ้าให้ข้ายึดครองแดนฮุ่นตุ้น ข้าเพิ่งจะยึดยอดเขาได้ไม่กี่ลูกก็ไปถึงถิ่นของเซียนจิ้งจอกนี่แล้ว ต่อมาจึงถูกเขารบเร้าเซ้าซี้จนตามมาถึงที่นี่ด้วย ได้ยินว่าเป็นจิ้งจอกตระกูลถูซาน”
“จิ้งจอกเก้าหางตระกูลถูซาน?” อวี้ถูคล้ายไม่เชื่อเท่าไรนัก “กลิ่นอายจิ้งจอกบนร่างเขายังเทียบจิ้งจอกหางเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ตระกูลถูซานจะมีเศษสวะเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ก็นับว่าเขายังรู้จักเจียมตัว หนีได้เร็วอยู่”
“ยึดครองแดนฮุ่นตุ้น?” เฟิงจงยืนขึ้นเมื่อฟังออกถึงความไม่ชอบกลนี้ “อะไรกัน เจ้าไม่เพียงอยากได้พิภพมนุษย์ กระทั่งแดนฮุ่นตุ้นเจ้าก็หมายตา?”
อวี้ถูเดินมาหานางทีละก้าว รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งลุ่มลึก “ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้ทั้งสามพิภพล้วนมาถึงปากเหวแห่งการดับสูญแล้ว วันหน้าเมื่อเทพเซียนในพิภพสวรรค์ล้มหายตายจาก ปีศาจมารสาบสูญเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ ท้ายที่สุดทุกพิภพก็จะกลายเป็นยมโลก ส่วนข้าก็จะกลายเป็นเทพสูงสุด บางทีอาจจะกลายเป็นเทพผู้สร้างโลกองค์ใหม่เสียด้วยซ้ำ”
เฟิงจงโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก “แม้แต่ฐานะของมหาเทพหนี่ว์วา เจ้าก็บังอาจหมายตาเชียวหรือ!”
“หนี่ว์วาแล้วอย่างไร เห็นจะมีแต่เจ้าที่ศิโรราบต่อนางเช่นนี้ ข้าเพียงแค่คล้อยตามลิขิตฟ้าเท่านั้น”
เฟิงจงขบกรามกรอด “หรือที่มนุษย์สูญสิ้นไปเช่นนี้เป็นฝีมือของเจ้า?”
อวี้ถูหลุดหัวเราะ “เจ้าให้เกียรติข้ามากไปแล้ว เดิมทีมนุษย์ล้วนโลภโมโทสันอยู่ในกมลสันดาน เพื่อกิเลสของตนแล้วเอาแต่ล้างผลาญสรรพสิ่งในพิภพมนุษย์ไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งไปแตะต้องสิ่งที่ไม่พึงแตะต้องเข้า นับแต่นั้นมาทุกแห่งหนที่ผ่านจึงไม่มีต้นหญ้างอกเงยแม้สักชุ่นเดียว ตัวพวกเขาเองก็สูญเสียความสามารถในการให้กำเนิดไป ท้ายที่สุดจึงมาถึงจุดสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ นี่เป็นพวกเขาแส่หาเรื่องเอง”
“สิ่งที่ไม่พึงแตะต้อง?”
อวี้ถูยกของวิเศษในมือเพื่อชั่งน้ำหนัก “อะไรกัน เจ้าใคร่รู้สาเหตุถึงเพียงนี้ เพราะเป้าหมายที่จะกลับเป็นเทพเซียนไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเอง แต่เพื่อพิภพมนุษย์นี่น่ะหรือ”
เฟิงจงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “ข้าคือจ่งเสิน หน้าที่ของข้าก็คือทำให้พิภพมนุษย์เปี่ยมด้วยพลังชีวิต”
“หน้าที่?” อวี้ถูขบขัน “พิภพมนุษย์ไม่เหลือผู้คนแล้ว ยังต้องการจ่งเสินไปเพื่ออะไร”
“ใครว่าพิภพมนุษย์ไม่เหลือผู้คนแล้ว ตอนนี้ข้าก็เป็นมนุษย์ และจะไม่ใช่มนุษย์คนสุดท้ายแน่นอน”
“แต่อีกไม่นานเจ้าก็จะตายแล้ว”
เพลิงภูตที่ลุกพรึบขึ้นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าโอบล้อมเฟิงจงเอาไว้ตรงกลาง อวี้ถูในร่างของเซวียนชิงประชิดเข้ามาทีละนิด กระทั่งปลายคางแทบจะจรดกับมุมหน้าผากของนางอยู่แล้ว กาลก่อนเขาไม่เคยเข้าใกล้นางได้มากถึงเพียงนี้ บัดนี้กระทั่งร่างที่กลวงเปล่าของหุ่นเวทก็ยังทำให้เขาต้องอิจฉา
ขณะจะใกล้ชิดนางยิ่งกว่านี้ พลังปีศาจระลอกหนึ่งก็กวาดมาถึงเสียก่อน อวี้ถูถอยหลบไปทันใด ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉยงฉีที่มีสีแดงเพลิงทั้งร่างกำลังกางสองปีกโฉบพุ่งลงมาจากฟ้า มันร่อนลงเบื้องหน้าเฟิงจงก่อนจะแยกเขี้ยวคำรามกร้าวใส่เขา เส้นขนทั่วกายของมันชี้ชันดั่งเข็มแหลม จู่ๆ มันก็อยู่ในร่างที่โตเต็มวัยแล้ว
ฟางจวินเยี่ยคุมกระบี่บุกเข้ามาโดยไม่รอช้า ฉยงฉีก็อ้าปากพ่นหมอกดำออกไป ขณะที่เขาถอยร่นติดกันไปหลายก้าวกว่าจะหยัดกายได้มั่นคง ฉยงฉีก็หันหน้ากลับมากลืนเพลิงภูตรอบกายเฟิงจงจนหมดสิ้นแล้ว จากนั้นมันยังสะบัดขนพลางส่งเสียงเรอออกมา
อวี้ถูมองพิรุธออกแล้ว “เซียนจิ้งจอกนั่นหลบหนีไปแล้วก็ยังอุตส่าห์ทิ้งลูกไม้นี้เอาไว้อีกหรือ แต่น่าเสียดาย วิชาแปลงกายนี้จะฝืนประคองไปได้สักเท่าใดกัน” เขามองข้ามฉยงฉีไปยังเฟิงจง “เฟิงจง เจ้าจะร่วมครองสามพิภพกับข้าในวันข้างหน้า หรือจะฟื้นตัวไม่ได้ชั่วกัปกัลป์นับแต่นี้ เจ้าก็เลือกเอาเองเถอะ”
เฟิงจงลองขยับนิ้วมือพลางจงใจเอ่ยประวิงเวลา “ข้าเลือกที่จะให้พิภพมนุษย์ฟื้นคืนสภาพเดิม เจ้ามีความเห็นเช่นไรเล่า”
“ดื้อรั้นดันทุรัง” อวี้ถูทอดถอนใจเบาๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่ทำลายของวิเศษของเจ้า ให้เจ้าถอดใจอย่างแท้จริงเท่านั้น”
เขาใช้มือรองแจกันหยกสีน้ำเงินใบนั้นไว้แล้วหมุนไปมาเบื้องหน้าสายตา “ได้ยินว่าตอนนี้ใครๆ ในสามพิภพต่างก็หวังจะหยิบยืมพลังของเจ้ามาสืบทอดทายาท และสิ่งที่จะต้องพึ่งพาก็คือของวิเศษชิ้นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะทำลายมันทิ้งก่อนเลยแล้วกัน เว้นเสียแต่ว่าเจ้ายินดีที่จะสืบทอดทายาทให้กับข้า”
ฟางจวินเยี่ยฟังแล้วก็อดมองแจกันหยกสีน้ำเงินใบนั้นปราดหนึ่งไม่ได้
เฟิงจงส่ายหน้า “ข้อเรียกร้องนี้ยากเกินไป ข้ารู้สึกว่าอย่างเจ้าน่าจะถูกลิขิตให้ต้องสิ้นทายาทอยู่แล้ว เกรงว่ากระทั่งแจกันหยกสีน้ำเงินก็ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้”
แววตาของอวี้ถูหม่นลงเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็โทษข้าไม่ได้แล้ว”