เพียงมองเห็นฟางจวินเยี่ย หลิ่วเซิงก็รู้สึกว่าหน้าอกคล้ายถูกไม้ใหญ่กดทับจนหายใจไม่ทั่วท้อง ครั้นมองเห็นเฟิงจง เขาก็รู้สึกเหมือนถูกสัตว์ตัวโตกระทืบจนกระดูกแทบหักท่อน พอมองเห็นไต้อ๋องนายตน เขาก็รู้สึกว่าท้ายทอยยังคงปวดแปลบแสบร้อนไม่หาย ทว่ายามนี้คนทั้งสามล้วนอยู่บนเมฆก้อนเดียวกับเขาเสียนี่ เขาจึงได้แต่นั่งตัวลีบอยู่ที่ขอบเมฆ แทบอยากใช้วิชาพรางกายเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ
ยอดเขาที่ถูซานสือฟางพำนักอยู่ลูกนี้ไม่มีชื่อ พวกหลิ่วเซิงจึงเรียกขานอย่างง่ายๆ ว่าภูเขาไร้นาม เดินทางจากภูเขาไร้นามแห่งนี้ไปทางตะวันตกห้าสิบหลี่ก็เป็นภูเขาหลินซาน บนยอดเขามีปีศาจเฒ่าผู้หนึ่งรับซื้อของวิเศษและอาวุธเทพโดยเฉพาะ เนื่องจากไร้ชื่อไร้แซ่ ปีศาจเฒ่าจึงถูกผู้อื่นเรียกขานว่า ‘ผู้เฒ่าหลินซาน’ หลิ่วเซิงก็ขายหุ่นเวทให้กับเขานี่เอง โดยแลกได้ทวนคมขวาน* ประหารวิญญาณมาเล่มหนึ่ง ซึ่งหลิ่วเซิงหมายจะนำไปต่อกรกับฟางจวินเยี่ย
ฟางจวินเยี่ยฟังจบก็กวาดตามองหลิ่วเซิงปราดหนึ่ง “ขุนพลพ่ายศึก ข้าจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเคยประมือกับเจ้ามาก่อน”
หลิ่วเซิงโกรธจนสีหน้าเขียวคล้ำ
แค่อาวุธผุๆ ชิ้นเดียวก็ขายแลกกับเทพผู้หนึ่งได้? ขณะที่เฟิงจงแค้นใจจนอยากจะเตะหลิ่วเซิงให้ตกก้อนเมฆไปประเดี๋ยวนี้ ทางด้านถูซานสือฟางก็ได้ถีบหนึ่งเท้าออกไปแล้ว “จงคลานไปเอง ข้าไต้อ๋องเห็นเจ้าแล้วโมโหยิ่งนัก!”
เสียงโอดครวญของหลิ่วเซิงที่แว่วมาจากเบื้องล่างเริ่มปนด้วยเสียงสะอื้นแล้ว “ไต้อ๋องโปรดระงับโทสะลงด้วย ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้วขอรับ!”
เพียงไม่นานกลุ่มของเฟิงจงก็มาถึงภูเขาหลินซาน ถูซานสือฟางเพิ่งจะขี่เมฆลงต่ำ เฟิงจงก็กระโดดลงไปก่อนแล้ว นางวางฉยงฉีที่อยู่ในมือลงพื้นแล้วมุ่งหน้าตามมันไป หลังจากลัดเลาะไปมาไม่นานนัก พวกนางก็หยุดอยู่เบื้องหน้าถ้ำภูเขาแห่งหนึ่ง
เฟิงจงย่างเท้าเดินนำเข้าไปก่อน แม้ภายในถ้ำจะมืดมิด แต่ก็ยังพอมองเห็นอาวุธของวิเศษจำนวนหนึ่งแขวนอยู่บนผนังได้รางๆ ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธแปลกอัศจรรย์ที่หาได้ยากยิ่ง ผู้เฒ่าซึ่งมีผมเผ้าและหนวดเคราขาวโพลนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กึ่งกลางถ้ำ ยกเปลือกตาขึ้นข้างหนึ่งมองนางแล้วปิดลงเช่นเดิม “มาซื้อหรือมาขาย”
“เทพที่หลิ่วเซิงขายให้เจ้าผู้นั้นเล่า”
ผู้เฒ่าลืมตาขึ้นอีกครา ครั้นเห็นเงาร่างหนึ่งแดงหนึ่งขาวเดินตามหลังนางเข้ามา ผู้เฒ่าก็จดจำถูซานสือฟางได้ในปราดเดียว เขารีบส่ายหน้าตอบว่า “ข้าไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยซื้อเทพอะไรมาจากหลิ่วเซิง เทพเซียนไหนเลยจะสามารถซื้อขายกันได้”
ฟางจวินเยี่ยไม่อยากเสียเวลา เขาจึงทำท่าจะชักกระบี่ออกมาแล้ว “ไยต้องเปลืองวาจากับเขาเล่า ลงมือตรงๆ เขาก็สารภาพแล้ว”
“ขะ…ข้าจำไม่ได้จริงๆ!” ผู้เฒ่าสัมผัสได้ถึงปราณเซียนบนร่างของฟางจวินเยี่ยแล้ว จึงลุกขึ้นถอยห่างไปอย่างลนลาน
ทว่าถูกถูซานสือฟางคว้าสาบเสื้อไว้ในคราวเดียว สองตาของไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกจ้องผู้เฒ่าอย่างแน่วนิ่ง ไม่ถึงชั่วพริบตาแววตาของผู้เฒ่าก็พลันว่างเปล่าเลื่อนลอย จากนั้นถูซานสือฟางก็ถามขึ้นเรียบๆ “พูดมาเถอะ เจ้าขายต่อให้ผู้อื่นแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าขายต่อให้…” ผู้เฒ่าถูกอาคมมายาเข้าแล้ว ขณะกำลังจะเอ่ยตอบ นอกถ้ำก็พลันมีเสียงตวาดกร้าวของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน ผู้เฒ่าสะดุ้งตื่นทันใด เขารีบปล่อยหมอกปีศาจออกไประลอกหนึ่ง พอหลุดจากมือของถูซานสือฟางได้แล้ว เขาก็ซุกร่างเข้ามุมโดยไม่กล้าสบตากับไต้อ๋องเซียนจิ้งจอกอีก
เฟิงจงสะบัดหน้าไปมองอย่างหัวเสีย ก่อนจะเห็นปีศาจสาวหน้าตาดุร้ายผู้หนึ่งฉุดดึงหนุ่มน้อยชุดสีขาวอีกคนเดินเข้ามา จากนั้นนางก็ผลักหนุ่มน้อยผู้นั้นล้มคว่ำกับพื้นในคราวเดียว เขาล้มลงตรงหน้าเฟิงจงพอดี…ที่แท้เขาก็คือหุ่นเวทของข้า!
ปีศาจสาวเท้าเอวพลางด่ากราด ยกตนขึ้นเป็น ‘มารดา’ ของอีกฝ่ายอย่างฉุนเฉียว “เจ้าเฒ่าหลินซานตัวดี ถึงกับบังอาจหลอกลวงมารดาเชียวรึ! ไม่ใช่เจ้าหรือที่พูดว่าดูดซับพลังหยางของเทพผู้นี้แล้วมารดาจะได้กลายเป็นเซียน แต่นี่กระทั่งกล่องดวงใจของเขาก็ยังไม่มีเลย แล้วเจ้าจะให้มารดาไปดูดซับพลังหยางของเขาได้อย่างไร!”
ผู้เฒ่าหลินซานที่อยู่มุมหนึ่งของถ้ำรีบส่งสายตาให้ปีศาจสาวสุดชีวิต แต่ก็ล้วนไม่เป็นผล ดวงหน้าของเขาจึงซีดเผือด ไม่กล้ามองพวกเฟิงจงทั้งสามที่อยู่อีกด้านหนึ่ง