ชั้นเมฆสีแดงเลือดที่ขอบฟ้าเคลื่อนไม่หยุด เบื้องล่างหาใช่ทิวเขาที่พบเห็นได้ทุกหนแห่งเช่นเมื่อแรกอีก สภาพพื้นที่เป็นพื้นราบขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ก็แน่นขนัดขึ้นทุกที กระทั่งสายลมที่โชยมายังมีไอชื้นเจือปน
เฟิงจงลืมตาแล้วลุกขึ้นยืนบนก้อนเมฆ “น่าจะใกล้ถึงแล้วกระมัง”
“ใช่หรือ” ถูซานสือฟางยืนขึ้นตาม จากนั้นพลันยกมือตีใส่ต้นคอของเฟิงจง ร่างนางพลันอ่อนระทวยทรุดลงในอ้อมแขนที่อ้ารออยู่แล้วของเขา
ฉยงฉีร้องพู เกร็งลำตัวขึ้นในพริบตา
ส่วนฟางจวินเยี่ยก็พร้อมจะชักกระบี่ออกมาทุกเมื่อ “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ไม่ได้จะทำอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้ แดนฮุ่นตุ้นไม่แบ่งแยกทิวาราตรี นางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา วิ่งวุ่นต่อเนื่องจนถึงป่านนี้ก็จำเป็นต้องพักผ่อนแล้ว” ถูซานสือฟางตวัดแขนเสื้อวาดมือขึ้นครั้งหนึ่ง ก้อนเมฆก็แยกออกเป็นสองส่วน เขาช้อนตัวฉยงฉีมาแล้วโอบร่างเฟิงจงไว้ จากนั้นขี่เมฆครึ่งก้อนลงไปหยุดที่พื้นเบื้องล่าง
ฟางจวินเยี่ยชะงักอยู่บนเมฆอีกครึ่งก้อน ก่อนจะตามลงมาในที่สุด แม้เขาจะไม่มีท่าทางพร้อมชักกระบี่อีก ทว่าสีหน้าก็ไม่ได้เป็นมิตร “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้คิดการไม่ซื่อ”
รอจนอุ้มเฟิงจงไปที่ข้างต้นไม้ใหญ่แล้วจัดให้นางได้นอนราบ ถูซานสือฟางจึงค่อยหรี่ตาคลี่ยิ้มให้เขา “วาจานี้สมควรให้ข้าไต้อ๋องพูดกับเด็กน้อยเช่นเจ้ามากกว่ากระมัง”
ยามที่เฟิงจงรู้สึกตัวตื่น กลิ่นหอมยวนใจของเนื้อย่างก็โชยมาปะทะจมูก ยังคงเป็นกลิ่นหอมอันคุ้นเคยที่มาจากการย่างด้วยเพลิงกสิณ
เบื้องหน้าสายตามีกองไฟลุกโชติช่วงอยู่ ถูซานสือฟางนั่งอยู่ด้านข้างกำลังหยิบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งป้อนให้ฉยงฉี พอเห็นว่านางลืมตาขึ้นแล้ว เขาก็รีบหยิบเนื้อย่างที่มีน้ำมันไหลเยิ้มชิ้นหนึ่งจากบนกองไฟมายื่นส่งให้นาง “กินสิ”
เฟิงจงหน้าบึ้งขณะรับเนื้อมา “เจ้าตีข้าทำไม”
ฟางจวินเยี่ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา
ถูซานสือฟางเท้าคางโปรยยิ้มให้นาง “ข้าไต้อ๋องเป็นห่วงว่าเจ้าจะเหนื่อยตายเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีปราณมนุษย์มาหล่อเลี้ยงข้าน่ะสิ”
ได้ยินเขาพูดขึ้นมาเช่นนี้ เฟิงจงก็รู้สึกหิวแล้วจริงๆ ทว่าจับเนื้อชิ้นนั้นขึ้นมากินได้แค่ไม่กี่คำนางก็ยืนขึ้น “รีบไปกันดีกว่า การเดินทางคราวนี้ข้าเสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว จะชักช้าอีกไม่ได้”
ฟางจวินเยี่ยลุกขึ้นราวกับรอคอยประโยคนี้ของนางอยู่นานแล้ว
ถูซานสือฟางส่ายหน้าอย่างจนใจ พลางเดินเนิบนาบตามไปขึ้นก้อนเมฆ
ทะเลเขี้ยวพิโรธอยู่ไม่ไกลแล้วจริงๆ เพียงแค่ยืนบนก้อนเมฆก็สามารถได้ยินเสียงคลื่นทะเลที่ซัดโหมได้
เฟิงจงกับฟางจวินเยี่ยล้วนเพ่งมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ผิดกับถูซานสือฟางที่นั่งมองลงไปเบื้องล่างจากบนก้อนเมฆในอาการเบื่อหน่าย ครั้นผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่ง สายตาของเขาก็ชะงักกึก หรี่ตาพินิจมองโดยละเอียด เพียงเห็นคลับคล้ายคลับคลาว่ามีเงาร่างในชุดสีม่วงอันคุ้นตาอยู่กลางที่ลุ่มริมหนองน้ำ เขาทันเห็นเพียงเท่านั้น ก้อนเมฆก็ลอยออกไปไกลจนไม่เห็นอื่นใดอีก
“ถึงแล้ว!”